KEY
POINTS
เมื่อหลายวันก่อน ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนที่เป็นแพทย์ทางประสาทวิทยา ที่เป็นชาวไต้หวันท่านหนึ่ง ผมได้เล่าถึงประสบการณ์ดูแลสุภาพสตรีผู้สูงวัยท่านหนึ่งที่เป็นชาวเยอรมัน เมื่อตอนแรกๆที่ท่านมาอาศัยอยู่ที่บ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮาส์”ของผม ทางเราไม่ทราบเลยว่าท่านมีอาการทางโรคสมองเสื่อม(Dementia) ต่อมาช่วงที่ไปรับท่านมานั้น ท่านอาละวาดมากๆ ทั้งเตะทั้งถีบ โวยวายด่าว่าเจ้าหน้าที่พยาบาลของเราตลอดทาง แต่พอมาอยู่กับเราได้สักระยะเวลาหนึ่ง ท่านก็สงบลง อาการเหล่านั้นก็เบาบางลงไปมาก น่าจะเป็นเพราะว่าช่วงแรกเราใช้วิธีการดูแลแบบผสมผสาน คือ ให้ยารักษาโรคเท่าที่จำเป็น จนกระทั้งปัจจุบันนี้ การให้ยาน้อยลงไปมากๆ ทุกครั้งที่พาท่านไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์ก็จะชมตลอดว่า ท่านมีอาการใกล้ปกติแล้วทุกครั้งไป ทางแพทย์ที่ไต้หวันจึงสอบถามถึงอาการตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงทุกวันนี้กับผม แพทย์ท่านจึงให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นโรค LBD ผมก็ไม่กล้าละลาบละล้วงสอบถามมาก กลับมาจากไต้หวัน พอมีเวลาว่างผมจึงเข้าไปสืบค้นดูว่า เจ้าโรคสมองเสื่อมจากลิววี่บอดี้(Lewy Body)คืออะไร? วันนี้จะนำมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อเพื่อนๆท่านใดมีผู้สูงวัยที่มีอาการเช่นนี้ จะได้ระมัดระวังกันครับ
เวลาที่เราพูดถึงภาวะสมองเสื่อม ทุกคนจะนึกถึง “โรคอัลไซเมอร์” เป็นอันดับแรกเสมอ แต่ความจริงๆแล้ว มีอีกโรคที่พบเห็นกันได้บ่อยเป็นอันดับ Top 3 และมีอาการซับซ้อนกว่ามาก นั่นคือ “โรคสมองเสื่อมจากลิววี่บอดี้” (Lewy Body Dementia หรือ LBD) เจ้าโรคLewy Body Dementia ตัวนี้ มาจากชื่อของนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ท่านหนึ่ง ที่ชื่อว่า Dr. Friedrich Heinrich Lewy ซึ่งเป็นแพทย์ทางด้านประสาทวิทยาชาวเยอรมัน ที่ค้นพบโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ตกค้างเป็นก้อนในเนื้อสมองของมนุษย์แก่ๆเหมือนพวกผมนี่แหละ ท่านได้พบโดยบังเอิญ ในขณะที่ทำการวิจัยเรื่องของโรคพาร์กินสัน เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเจ้าก้อนเนื้อนี้เป็น “ขยะโปรตีน” ที่ไปทำลายเซลล์สมอง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนึกคิด การเคลื่อนไหวและการรับรู้ทางสายตา ทำให้เกิดอาการของโรคสมองเสื่อมลิววี่บอดี้และโรคพาร์กินสัน เขาเลยเรียกก้อนร้ายเนื้อก้อนนี้ว่า Lewy Body เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คุณหมอท่านนั้นครับ
เจ้าโรค LBD เกิดจากความผิดปกติของ “โปรตีนอัลฟาซินิวคลีอิน” ( Alpha-Synuclein Protein) ที่ควรอยู่ในเซลล์ประสาทของเราตามปกติ แต่มันกลับจับตัวกันเป็นก้อนเล็กๆที่เรียกว่า “ลิววี่บอดี้” ไปสะสมอยู่ทั่วสมอง ลองนึกภาพก้อนโปรตีนนี้เหมือน “ก้อนหิน” ที่ไปขวางทางเดินของไฟฟ้าในสมอง ทำให้สมองทำงานผิดพลาดในหลายส่วนพร้อมกัน ทั้งส่วนที่ควบคุมความคิด ความจำ และการเคลื่อนไหว โรคนี้จึงเป็นเสมือนการรวมเอาอาการของ สมองเสื่อม และ โรคพาร์กินสัน เข้าไว้ด้วยกัน
สัญญาณเด่นที่ทำให้ LBD ไม่เหมือนอัลไซเมอร์ สิ่งที่ทำให้แตกต่างอย่างชัดเจน คือ อาการที่ “วูบวาบ” และอาการแปลกๆ ที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัส สติวูบวาบ (ขึ้นๆ ลงๆ) ที่ผู้ป่วย LBD จะมีอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางช่วงอาจดูปกติสื่อสารรู้เรื่อง แต่จู่ๆ ก็ดูเหม่อลอย สับสน มึนงง โมโหขึ้นมาเหมือนคนละคน สลับกันไปมาภายในวันเดียว เหมือนอย่างคุณยายที่อยู่ที่บ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮาส์”ของผมนั่นแหละครับ ซึ่งต่างจากอัลไซเมอร์ ที่อาการมักจะค่อยๆแย่ลงอย่างคงที่ นอกจากนี้ บางครั้งก็มีอาการเห็นภาพหลอน ผู้สูงวัยที่ป่วยมักจะเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง อย่างชัดเจน เช่น เห็นคนแปลกหน้า สัตว์เลี้ยง หรือเด็กเดินอยู่ในบ้าน ภาพหลอนเหล่านี้ดูสมจริงมาก จนผู้ป่วยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เหมือนคนเห็นผีหรือผีเข้าสิงนั่นแหละครับ
สิ่งที่มีอาการเหมือนโรคพาร์กินสัน ก็คือ ผู้สูงวัยที่ป่วยก็มักจะมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหว เช่น มือสั่น เดินช้า ตัวแข็งเกร็ง และมักจะหกล้มบ่อย ซึ่งอาจเป็นอาการแรกๆก่อนที่พาผู้ที่มีอาการป่วยจะถูกพามาพบแพทย์ด้วยซ้ำ บางท่านก็จะมีอาการนอนละเมอรุนแรง ในขณะที่นอนหลับ ผู้สูงวัยที่ป่วยมักจะแสดงพฤติกรรมตามความฝัน ออกมาอย่างรุนแรง เช่น ชก เตะ หรือร้องเสียงดัง จนบางครั้งอาจตกลงจากเตียง อาการนี้เรียกว่า REM Sleep Behavior Disorder (RBD) และอาจเกิดขึ้นก่อนอาการอื่นๆ หลายปี
จากประสบการณ์ของเราที่ให้การดูแลคุณยายผู้สูงวัยท่านที่มีอาการโรค LBD คือเราจะให้การรักษาแบบผสมผสาน สร้างความสมดุลระหว่างจิตใจและร่างกาย โดยให้ยารักษาโรคในปริมาณที่น้อยมากๆ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่า การดูแลโดยไม่ใช้ยาหรือให้ยาแต่จำนวนน้อยๆ น่าจะเป็นเครื่องมือที่ดีและสำคัญที่สุด เพราะช่วยจัดการกับอาการที่วูบวาบได้ดีกว่ายาเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน เราก็จะช่วยจัดการกับภาพหลอนและความสับสน (เน้นความปลอดภัย) โดยทางเราได้สั่งให้ผู้บริบาลว่า ไม่ต้องไปโต้แย้งสิ่งที่ท่านเห็น เมื่อผู้ป่วยท่านเห็นภาพหลอน ก็อย่าไปบอกท่านว่า “นั่นไม่จริง” เพราะผู้ป่วยท่านอาจจะเห็นจริงๆ ให้เน้นที่ความรู้สึกแทน เช่นบอกว่า “หนูรู้ว่าคุณยายเห็นสิ่งนั้น และมันอาจทำให้คุณยายกลัว แต่หนูจะอยู่ตรงนี้กับคุณยายนะคะ” และให้ทำการปรับแสงสว่างในเวลาท่านนอน เปิดไฟให้สว่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน เพราะเงามืดจะทำให้สมองแปลความหมายผิด และกระตุ้นให้เกิดภาพหลอนได้ง่ายนั่นเองครับ
การสร้างกิจวัตรที่ง่ายและยืดหยุ่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน เช่นในช่วงที่ผู้ป่วยท่านมีอาการดูดี ก็ให้ทำกิจกรรมที่ไม่ซับซ้อน ส่วนคุณยายท่านจะชอบเล่นไพ่ผสมสิบ เราก็จะให้เด็กๆผู้บริบาลชวนท่านเล่น แต่ถ้าช่วงไหนสับสนหรือเหม่อลอย ก็ปล่อยให้ท่านได้พักผ่อนโดยไม่ฝืน เพราะการเร่งรัดต่างๆ จะทำให้ท่านมีอาการแย่ลง นอกจากนี้เรายังช่วยระมัดระวังท่าน โดยจัดการกับการเคลื่อนไหวและการพลัดตกหกล้ม(โดยเน้นความมั่นคง) ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ติดตั้งราวจับในห้องน้ำและทางเดิน เก็บสายไฟ พรม หรือสิ่งของที่อาจทำให้ สะดุดล้ม ออกไปให้หมด จากนั้นก็จัดกิจกรรมเคลื่อนไหวเบาๆ ส่งเสริมให้ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินช้าๆ หรือการยืดเหยียด เช่น การรำวงที่ท่านชอบมากๆ การทำโยคะสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อไม่แข็งเกร็งมากนัก การดูแลความปลอดภัยในการนอน หากมีอาการละเมอ ให้ย้ายที่นอนไปติดกำแพง และถอดเฟอร์นิเจอร์อันตรายออกไปจากข้างเตียง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการเตะหรือชกขณะหลับได้ครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกัน คือ การสื่อสารและการกระตุ้นสมอง โดยเน้นความสัมพันธ์ที่ดีกับท่าน ชมท่านสวยหรือบอกท่านว่า วันนี้ท่านสวยกว่าเมื่อวานนะ ท่านก็จะชอบมากๆเลยครับ นอกจากนี้ เรายังได้บอกเด็กๆผู้บริบาลว่า ให้พูดกับท่านช้าๆชัดๆ ใช้ประโยคที่สั้นๆและตรงประเด็นทีละคำ ให้เวลาท่านในการตอบสนอง และใช้ภาษากายที่อบอุ่นและเป็นมิตร โดยก่อนที่จะคุยกับท่าน ให้ลูบแขนท่านก่อนที่จะพูดเสมอ และอย่ายืนสูงกว่าท่านเวลาพูดคุย ซึ่งก็ได้ผลมากๆทีเดียวครับ
จะเห็นว่าผู้สูงวัยทุกท่าน ท่านไม่ได้อยากจะอารมณ์เสีย เอะอะมะเทิ่ง หรือชอบที่จะทำร้ายผู้อื่นหรอกครับ แต่เป็นเพราะว่า ท่านเองอาจจะควบคุมตนเองไม่ได้ จึงได้ปฏิบัติตนอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม เราต้องเข้าใจท่าน และให้ความรักกับท่าน หรืออาจจะใช้กิจกรรมต่างๆมากระตุ้นสมองท่าน โดยเน้นกิจกรรมที่สนุกและเคยชิน เช่น ฟังเพลงโปรดสมัยหนุ่มสาว การจัดเรียงรูปภาพ หรือการทำสวนเล็กๆน้อยๆ เพื่อรักษาทักษะที่ยังเหลืออยู่อย่างเป็นธรรมชาติ เชื่อว่าอาการของโรคสมองเสื่อมจากลิววี่บอดี้ ก็สามารถบรรเทาได้ครับ