KEY
POINTS
หลายวันก่อน ผมได้เดินทางไปเยี่ยมแม่ของเพื่อนท่านหนึ่ง ในช่วงที่เข้าไปไหว้ท่านใกล้ ๆ ได้สังเกตเห็นผิวหนังของท่าน มีลักษณะสีแดงเป็นตุ่มนูน ผิวหนังของท่านดูเป็นขรุขระและเป็นขุย ๆ ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นโรคผิวหนังธรรมดาทั่วไป แต่พอดีใกล้ ๆ อีกที ยิ่งเห็นได้ชัด ในใจจึงคิดว่าน่าจะเป็นมะเร็งในโรคผิวหนังมากกว่า จึงได้กระซิบ ๆ ถามลูกของท่านไปว่า ได้ไปพบแพทย์บ้างหรือเปล่า? เขาก็บอกว่าแม่เป็นอย่างนี้มานานแล้ว คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร สำหรับความคิดส่วนตัวผมที่ไม่ได้พูดบอกเขาไป เพราะด้วยความเกรงใจ แต่ในใจก็แอบสนใจเกี่ยวกับอาการนี้มาก กลับมาบ้านก็เลยเข้าไปหาอ่านบทวิจัยดู ด้วยความสอดรู้สอดเห็นครับ
มะเร็งผิวหนังเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงวัยที่ตากแดดตากลมมามาก เนื่องจากเป็นวัยที่ผิวหนังสะสมความเสียหาย จากการสัมผัสแสงแดดมาเป็นเวลานาน ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนังในผู้สูงวัย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ตรวจพบและรักษาได้ทันท่วงที สาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง คือการได้รับรังสียูวี (UV) จากแสงแดดเป็นเวลานานและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่เคยมีประวัติผิวไหม้แดดอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ผู้สูงวัยมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังสูงขึ้น ได้แก่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังจะเสื่อมสภาพลง ความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองลดลง และสะสมความเสียหายจากแสงแดดมานานหลายสิบปีครับ
อีกสาเหตุหนึ่งคือ สีผิว ผู้ที่มีผิวขาว ผมสีอ่อน และดวงตาสีอ่อน จะมีเมลานินในผิวหนังน้อยกว่า ทำให้ป้องกันรังสียูวีได้ไม่ดีเท่าผู้ที่มีผิวคล้ำ จึงเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังมากกว่า หรือบางคนอาจจะมีปัญหาของเรื่องพันธุกรรม เพราะหากมีประวัติคนในครอบครัว เคยเป็นมะเร็งผิวหนัง ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาของ ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นได้เช่นกัน
บางคนที่เคยทำงานในลักษณะของการสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น สารหนู ถ่านหินน้ำมันดิน เป็นต้น บางคนก็อาจจะมีกระเนื้อที่ผิดปกติ (actinic keratosis) หรือมีไฝที่เปลี่ยนแปลงไป นี่ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เช่นกันครับ
มะเร็งผิวหนังที่พบบ่อยในผู้สูงอายุมี 3 ชนิดหลัก ได้แก่ 1,มะเร็งเซลล์ต้นกำเนิด (Basal Cell Carcinoma - BCC) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80%) มักเกิดในบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ เช่น ใบหน้า ลำคอ แขน และมือ มักจะเติบโตช้าและไม่ค่อยแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ลักษณะที่พบได้บ่อยคือ ตุ่มนูนเล็ก ๆ สีชมพูหรือสีผิว อาจมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ปรากฏให้เห็น หรือเป็นแผลเรื้อรังที่ไม่หาย
ชนิดที่ 2 คือมะเร็งเซลล์สความัส (Squamous Cell Carcinoma - SCC) เป็นชนิดที่พบบ่อยเป็นอันดับสอง (ประมาณ 15-20%) มักเกิดในบริเวณที่โดนแสงแดดเช่นกัน เช่น ใบหน้า ริมฝีปาก ใบหู หรือหลังมือ อาจเป็นตุ่มนูนแดง ผิวขรุขระ เป็นขุย เป็นแผลเรื้อรัง มีเลือดออกง่าย หรือมีลักษณะคล้ายหูด ชนิดนี้มีโอกาสแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ ได้ แต่ก็ยังถือว่ารักษาให้หายขาดได้ ถ้าหากตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
ชนิดที่ 3 คือมะเร็งเมลาโนมา (Melanoma) แม้จะเป็นชนิดที่พบน้อยที่สุด (ประมาณ 1%) แต่เป็นชนิดที่อันตรายและร้ายแรงที่สุด เนื่องจากมีโอกาสแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ลักษณะที่ควรสังเกตคือ ไฝหรือจุดด่างดำที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น ขนาดใหญ่ขึ้น สีเข้มขึ้น มีหลายสีในเม็ดเดียว รูปร่างไม่สมมาตร ขอบไม่เรียบ หรือมีอาการคัน เจ็บปวด มีเลือดออก
เมื่อเราอายุมากขึ้น (แก่แล้ว) ควรจะหมั่นสังเกตและตรวจเช็กผิวหนังด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้สูงวัย หรือผู้ดูแลควรสังเกตความผิดปกติของผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อย ๆ หากพบความผิดปกติเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยไม่ต้องรอครับ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผิดปกติหรือเปล่า? ก็ไม่ยากครับ ให้สังเกตดูว่ามีอาการแผลเรื้อรัง แผลที่ไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือมีอาการเลือดออกง่ายหรือเปล่า? หรือมีตุ่มหรือก้อนนูน ๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เปลี่ยนสี หรือมีอาการคัน เจ็บปวดหรือเปล่า? หรือมีไฝหรือจุดด่างดำที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยเป็น สังเกตตามหลัก "ABCDE" ของมะเร็งเมลาโนมา เช่น A (Asymmetry) ก็คือไฝที่มีรูปร่างไม่สมมาตร หรือไฝที่มีรูปทรงไม่ปกตินั่นเอง ส่วน B (Border Irregularity) ก็คือขอบไฝ ไม่เรียบ เป็นหยัก หรือเป็นรอยบาก ต่อมา C (Color Variation) ก็คือสีของไฝ ไม่สม่ำเสมอ มีหลายสีปะปนกัน เช่น สีดำ น้ำตาล แดง ขาว น้ำเงิน เรียกว่าหลากสีก็น่าจะไม่ผิดครับ ส่วน D (Diameter) ก็คือไฝที่มีขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร หรือประมาณขนาดของยางลบดินสอนั่นแหละครับ ส่วน E (Evolution) ก็คือไฝที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง สี หรือมีอาการผิดปกติ เช่น คัน เจ็บ มีเลือดออก ทั้งหมดนี้ก็คือ ABCDE อย่างกล่าวนั่นแหละครับ อีกหนึ่งอาการที่จะนำมาสังเกตผิวหนัง หากเรามีผิวหนังที่เป็นรอยโรคที่ขรุขระ เป็นขุย หรือตกสะเก็ด ที่ได้ใช้ยาแล้วไม่หายเสียที ก็ควรไปพบแพทย์โรคผิวหนังดูก็จะปลอดภัยกว่านะครับ
อย่างไรก็ตาม การป้องกันมะเร็งผิวหนังที่ดีที่สุด คือการหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า โดยเฉพาะแดดช่วงสาย ๆ นอกจากนี้ ควรปฏิบัติด้วยการทาครีมกันแดด หรือสวมเสื้อผ้าป้องกันแสงแดด เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด และควรหลีกเลี่ยงการอาบแดด หรือใช้เตียงอาบแดดเพราะประเทศไทยเราอยู่ในเขตร้อน แสงแดดมีเพียงพออยู่แล้ว ไม่ใช่ประเทศในเขตหนาว ที่มีแสงแดดน้อย เขาจึงนิยมอาบแดด ของเราคงไม่จำเป็นต้องไปนอนอาบแดดหรอกนะครับ อย่างหนึ่งที่ควรปฏิบัติ คือการตรวจผิวหนังด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หากตรวจพบมะเร็งผิวหนัง การรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด ตำแหน่ง และระยะของมะเร็ง โดยมีวิธีการรักษาที่หลากหลาย เช่น การผ่าตัด การจี้ด้วยไฟฟ้า การใช้ความเย็นจัด การฉายแสง หรือการใช้ยา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ๆ โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดมีสูงมากครับ
จะเห็นว่ามะเร็งผิวหนังในผู้สูงวัย เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ การดูแลผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ การหมั่นสังเกตความผิดปกติ และการเข้ารับการตรวจจากแพทย์ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและห่างไกลจากภัยเงียบนี้ได้ครับ