KEY
POINTS
ช่วงที่ผ่านมา ที่สถานบริการบ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮ้าส์”ของผม เราได้ต้อนรับอาคันตุกะจากไต้หวันสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยไต้หวัน(Taiwan University) กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มของอาจารย์จากไต้หวัน 6 ท่าน ซึ่งมาดูงานเพื่อการศึกษาและเรียนรู้วิธีการดูแลผู้สูงอายุที่เขาได้ทราบข่าวมาว่า ในประเทศไทยเรามีสถานที่พักคนวัยเกษียณ ที่ได้รับการรับยอมรับจากชาวต่างประเทศ เขาจึงอยากมาเพื่อเรียนรู้ว่าเราทำกันอย่างไร? ในวันแรกที่มาถึง หลังจากที่ได้มีพิธีการต้อนรับ โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานผู้แทนการค้าไต้หวันประจำประเทศไทย(เนื่องจากประเทศไทยเราไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน สำนักงานดังกล่าวจึงทำหน้าที่เสมือนสถานทูตนั่นแหละครับ) ผมจึงได้ไปบรรยายให้เขาฟัง ถึงแนวคิดและวัตถุประสงค์ของสถานบริการของเรา
ในการบรรยาย ก็มีคำถามมาถึงการที่เราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบันนี้ โดยความหมายลึกๆก็คือโลกของยุค VUCA และยุค BANI นั่นแหละครับ ซึ่งแน่นอนว่า เราต้องปรับความเข้าใจในการให้บริการผู้สูงวัย เพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้ได้นั่นเองครับ ซึ่งในยุคนี้ เป็นยุคที่ความผิดปกติที่มีมาใหม่ๆแต่กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และความเปลี่ยนแปลงคือสิ่งเดียวที่แน่นอน โลกได้ก้าวเข้าสู่มิติที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม จากกรอบความคิด VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity) เรากำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่รุนแรงขึ้นไปอีกขั้น ในรูปของ BANI (Brittle, Anxious, Non-linear, Incomprehensible) การผสานรวมกันของสองกรอบแนวคิดนี้ ไม่ได้เป็นเพียงคำนิยามของสภาพแวดล้อม แต่คือคำเชิญชวนให้เราต้องปลดล็อกความเข้าใจ โอบรับความเป็นไปของโลกใบนี้ให้ได้ ซึ่งเราจำเป็นต้องมองหานวัตกรรม เพื่อพลิกโฉมการดูแลผู้สูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้งที่สุดนั่นเอง
VUCA World และ BANI World คือความท้าทายสู่โอกาสการพลิกโฉม แน่นอนว่าโลกของ VUCA-BANI บีบให้เราต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายมากขึ้น หากเราไม่ทำความรู้จักมันให้ลึกซึ้ง ก็ยากที่จะผ่านพ้นมันไปอย่างงดงามได้ยาก ผมจึงอยากนำเสนอเพื่อความเข้าใจอีกครั้งครับ โดยหากมามองในมุมมองของผู้ประกอบการ ที่ต้องคลุกคลีกับผู้สูงวัย V (Volatility) & B (Brittle) ซึ่งก็หมายถึงสุขภาพที่ผันผวนของผู้สูงวัย กับระบบที่เปราะบาง ทำให้เราต้องสร้างความแข็งแกร่งเชิงโครงสร้าง ในการนำมาซึ่งระบบของการดูแลผู้สูงวัยนั่นเองครับ ในส่วนของ U (Uncertainty) & A (Anxious) ก็คืออนาคตที่ไม่แน่นอนก่อให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งเป็นสภาวะที่ผู้ดูแลผู้สูงวัยต้องใช้ความรู้และความเข้าใจในเนื้องาน และเป็นผู้ให้คำแนะนำผู้สูงวัยอยู่เสมอ อีกทั้งเขายังต้องการความจริงใจในการสื่อสาร และการสนับสนุนทางอารมณ์ ในส่วนของ C (Complexity) & N (Non-linear) ก็คือภาวะเจ็บป่วยหลายโรคที่ซับซ้อน และผลลัพธ์ที่ไม่เป็นเชิงเส้น ทำให้การคิดแบบองค์รวมและการทดลอง เป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการนำมาใช้กับการดูแลผู้สูงวัย ในส่วนของ A (Ambiguity) & I (Incomprehensible) หมายถึงข้อมูลท่วมท้นที่คลุมเครือ และบางครั้งดูจะเข้าใจยาก เรียกร้องให้เรามุ่งเน้นการทำให้เรื่องซับซ้อนให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ทั้งผู้สูงวัยและผู้ดูแลเข้าใจสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เมื่อเราปลดล็อกความเข้าใจเหล่านี้ได้ เราก็จะมองเห็นว่า ท่ามกลางความท้าทาย ยังมีโอกาสมหาศาลที่จะพลิกโฉมการดูแลผู้สูงวัยให้ดีขึ้น
นั่นย่อมเป็นการโอบรับความเปราะบาง เพื่อพลิกโฉมการดูแลผู้สูงวัย ด้วยนวัตกรรมและแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งการพลิกโฉมไม่ได้หมายถึงแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่คือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการโอบรับความเปราะบางของผู้สูงวัยและระบบ เพื่อสร้างสรรค์โซลูชันที่แข็งแกร่ง ตัวอย่างเช่น การพลิกโฉมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation in Elderly Care) ซึ่งน่าจะมีองค์ประกอบของการเปลี่ยนถ่ายทางเทคโนโลยีจากอดีตสู่ปัจจุบัน เช่น
1, การนำเอา Telehealth และ Telemedicine มาใช้เพื่อลดข้อจำกัดด้านระยะทางและการเคลื่อนที่ ผู้สูงวัยสามารถปรึกษาแพทย์ผ่านวิดีโอคอล ติดตามอาการจากที่บ้าน และรับยาผ่านระบบจัดส่ง การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ง่ายขึ้น ช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มความยืดหยุ่นครับ
2, ใช้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ (AI และ Big Data) เพื่อวินิจฉัยความเสี่ยงของโรค แนะนำการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine หรือ Decision Medicine) หรือแม้แต่ช่วยในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ซึ่งช่วยจัดการกับความซับซ้อนและความไม่แน่นอนได้อย่างแม่นยำนั่นเองครับ
3, การใช้อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ Wearable Devices, IoT (Internet of Things) ที่ติดตามการเต้นของหัวใจ รูปแบบการนอนหลับ หรือการเคลื่อนไหว สามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ ไปยังผู้ดูแลหรือบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยตรวจจับความผิดปกติแต่เนิ่นๆ และเสริมสร้างความรู้สึกปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้ผลิตได้คิดค้นสินค้าประเภทนี้ออกสู่ตลาดจำนวนมาก และได้เริ่มที่จะนำออกมาจำหน่ายอย่างแพร่หลายมาก ราคาก็ยังสามารถจับต้องได้ ไม่แพงจนเกินไปครับ
4, การใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ Robotics และ Smart Home Technology เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น หุ่นยนต์ช่วยเคลื่อนย้าย หรือหุ่นยนต์เพื่อนแก้เหงา และบ้านอัจฉริยะที่ปรับอุณหภูมิ เปิดปิดไฟอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น และไต้หวันก็นิยมนำมาใช้ในธุรกิจด้านการดูแลผู้สูงวัยอย่างแพร่หลายเช่นกัน ในขณะที่สถานบริบาล “คัยโกเฮ้าส์” ของผมก็มีแนวคิดที่จะนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้ มาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้เช่นกันครับ
นอกจากนี้ธุรกิจของการดูแลผู้สูงวัย ยังต้องมีการพลิกโฉมด้วยรูปแบบการดูแลที่ยืดหยุ่นและบูรณาการ (Flexible & Integrated Care Models) มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับตลาดใหม่ๆที่จะเข้ามาสู่ประเทศไทยเราด้วย เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ การแข่งขันกันในเชิงของธุรกิจ หากไม่มีการปรับตัวให้ทันต่อสภาพของตลาดโลก ย่อมที่จะ“อยู่ยาก”ยิ่งขึ้นทุกวัน ดังนั้นการสร้างเส้นทางการดูแลสุขภาพที่เชื่อมโยงบริการ (Integrated Care Pathways)เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น ตั้งแต่โรงพยาบาล คลินิก ไปจนถึงการดูแลที่บ้าน โดยมี ผู้จัดการโครงการ (Case Manager) ทำหน้าที่ประสานงานทั้งหมด เพื่อรับมือกับความซับซ้อนของการดูแลหลายโรค นอกจากนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจประเภทนี้ ยังจำเป็นต้องเสริมสร้างบทบาทของชุมชนในการดูแลผู้สูงวัย โดยต้องมีการพยายามใช้แรงงานในชุมชน ให้เข้ามาช่วยในการดูแลผู้สูงวัยในตำแหน่งต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เขาเหล่านั้นด้วยนั่นเองครับ