KEY
POINTS
เมื่อดึกๆ ของคืนวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ผมเปิดดูข่าวจากจีนในสื่อออนไลน์ WeChat ปรากฏภาพการเสนอข่าวของนายเสอ จื้อเจียง ที่ถูกทางการไทยส่งตัวให้แก่ทางการจีน มีภาพการคุมตัวนายคนนี้ลงเครื่องบินในลักษณะ “ถูกหิ้วปีกลง” ซึ่งข่าวนี้เด้งขึ้นมาเยอะมาก เรียกว่ากลบข่าวอื่นๆ ไปเลยครับ ผมจึงเปิดดูอีกสอง-สามสำนัก ก็เป็นข่าวเดียวกันนี้ แต่เนื้อหาที่เป็นรายงานข่าว ก็เป็นไปตามสไตล์ของแต่ละสำนัก ซึ่งไม่มีการพูดถึงแหล่งกำเนิดจริงๆของ “กลุ่มสแกมเมอร์จีนเทา” เลย ผมจึงอยากจะชวนพวกเรามาดูกันนะครับว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ผมเชื่อว่าจุดกำเนิดที่ไม่ได้รับการเปิดเผยของสแกมเมอร์ น่าจะมาจากนโยบาย POGO ประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต้ (Rodrigo Duterte) แห่งประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 2016 ที่อนุญาตให้มีการจดทะเบียนบริษัทการพนันออนไลน์อย่างถูกกฎหมาย จึงทำให้มีการก่อร่างสร้างตัวของเจ้าพ่อการพนันออนไลน์ในวันนี้ ตามความเข้าใจที่ว่าอาชญากรรมไซเบอร์ของ “กลุ่มสแกมเมอร์จีนเทา” ที่เริ่มต้นในประเทศเมียนมาหรือกัมพูชา ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด แท้จริงแล้วรากฐานของอาณาจักรสีเทาเกือบทุกแห่ง ถูกวางไว้อย่างเป็นระบบในฟิลิปปินส์ ในช่วงปี 2016 โดยผ่านโมเดลธุรกิจที่ชื่อว่า POGO (Philippine Offshore Gaming Operators) นี่แหละครับ
เราจะเห็นว่า POGO จึงเป็นโรงเรียนฝึกหัดอาชญากรรมชั้นประถมบท การอนุญาตให้ธุรกิจพนันออนไลน์ดังกล่าว ที่มุ่งเป้าลูกค้าชาวจีนเข้ามาดำเนินงานในฟิลิปปินส์ กลายเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่สมบูรณ์แบบ ในการฟอกเงินและก่ออาชญากรรม ในช่วงนี้เองที่การปรากฏตัวของ นายเสอ จื้อเจียง ในวัยเพียง 35 ปี หลังจากที่เขาได้เดินทางมาแสวงหาโอกาสทางความร่ำรวยที่นี่ จนทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายแดงตำรวจสากล และถูกกล่าวหาว่าได้สร้างฐานอำนาจในฟิลิปปินส์
ต่อมาได้ขยายอาณาจักรพนันออนไลน์ข้ามชาติ ที่มีมูลค่าการหมุนเวียนหลายล้านล้านบาทไปยังกัมพูชาและเมียนมา ชื่อของเขาเชื่อมโยงกับโครงการขนาดใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งเป็นหลักฐานว่าธุรกิจสีเทาเหล่านี้ เริ่มต้นจากความชอบด้วยกฎหมายเทียม (Quasi-Legal) ก่อนจะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ได้กลายพันธุ์สู่ภัยร้ายแรงที่สุดแห่งยุคออนไลน์ ต่อมาเมื่อทางการจีนเริ่มกดดันรัฐบาลฟิลิปปินส์ กลุ่มทุนเหล่านี้จึงย้ายฐานไปยังประเทศอื่นๆ ทำให้รูปแบบอาชญากรรมเกิดการแพร่เชื้อ กลายพันธุ์ และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีใครคาดคิดนั่นเองครับ
วิวัฒนาการของกลุ่มสแกมเมอร์ ได้เข้าสู่กัมพูชาโดยฐานปฏิบัติการถูกย้ายจากกรุงมะนิลาไปยังเมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชาและพื้นที่ชายแดนอีกหลายแห่ง ที่ยากต่อการควบคุมของรัฐบาลกลาง เมื่อการทำธุรกิจ(ผิดกฎหมาย)ดังกล่าว ได้ทำยากขึ้น เพราะประชาชนเริ่มจะรู้เท่าทันพิษร้ายจากการพนันมากขึ้น อาชญากรรมจึงเปลี่ยนจากเพียงแค่การพนัน ไปสู่การหลอกลวงที่ซับซ้อน (Romance Scams, Investment Scams) และที่เลวร้ายที่สุดคือ “การค้ามนุษย์” เพื่อบังคับใช้แรงงานทาสไซเบอร์
โดยเหยื่อจะถูกล่อลวงจากประเทศใกล้เคียงและจากทั่วทุกมุมโลก ให้เข้ามาทำงานใน “ศูนย์สแกมเมอร์” ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเอง เนื่องจากความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาและฐานะทางการเงิน อีกทั้งมีประชากรพันกว่าล้านคน จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกหลอกลวงมาทำงานมากขึ้น เพราะตัวเจ้าของกิจการและกลุ่มผู้บริหารระดับสูงในองค์กรเอง ก็เป็นคนที่พูดภาษาจีนอยู่แล้วเป็นทุน จึงง่ายที่จะถูกหลอกลวงนั่นเองครับ
เมื่อทางการจีนได้ทราบถึงพิษภัยของกลุ่มธุรกิจสีเทาเหล่านี้ จึงได้มีการเริ่มประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนของเขาทราบ อีกทั้งมีการปราบปรามอย่างจริงจัง ตามที่เราได้เห็นในข่าวที่นำเสนออยู่ตลอดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งข่าวการจับกุมและลงทัณฑ์กันในที่สาธารณะอย่างเปิดเผย จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับทางการจีน ไทย เมียนมา เวียดนาม และสปป.ลาว ในบริบทของการจับกุม มาจนถึงจุดสิ้นสุดของเจ้าตัวพ่อเสอ จื้อเจียง และศูนย์กลางการฟอกเงินดังที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเราแม้จะไม่มีการจัดตั้งกาสิโนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เหมือนอย่างประเทศเพื่อนบ้าน แต่เราก็ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านๆ มาเราก็เป็นทั้ง จุดพัก ทางผ่าน และศูนย์กลางการเงินที่สำคัญของเครือข่ายจีนเทา จนกระทั่งถึงการทำให้เกิดการปราบปรามครั้งประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับผู้นำระดับสูงของเครือข่าย การจับกุมตัวพ่ออย่างนายเสอ จื้อเจียง น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของภูมิภาคนี้ ซึ่งเขาถูกทางการจีนต้องการตัวมานานหลายปี เมื่อนายคนนี้ถูกจับกุมที่กรุงเทพฯเมื่อปี พ.ศ.2565 การจับกุมนี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมเป็นที่กบดาน และแหล่งศูนย์กลางทางการเงินของหัวหน้าเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้อย่างเด็ดขาดนั่นเอง
บริบทของการจับกุมนายเสอ จื้อเจียง ที่มีความซับซ้อนอย่างมาก แต่ศาลไทยก็มีคำสั่งให้ส่งตัวนายคนนี้กลับไปยังประเทศจีน เพื่อดำเนินคดีในที่สุด เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จของความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสั่นคลอนขวัญกำลังใจของเครือข่ายจีนเทาทั้งหมดในภูมิภาค เมื่อทางการไทยเรา ได้มีมาตรการในการตัดเส้นทางการเงิน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเองมีความจริงจังและจริงใจ ในการจัดการกับกลุ่มสแกมเมอร์เหล่านี้
บทบาทที่ไทยในฐานะศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคนี้ รัฐบาลไทยได้เพิ่มความเข้มข้นในการ ตัดท่อน้ำเลี้ยง และทำลายโครงสร้างของเครือข่าย ด้วยการปราบปรามบัญชีม้า อายัดบัญชีธนาคารและทรัพย์สินที่ต้องสงสัย โดยการร่วมมือกับสถาบันการเงิน ในการระบุและระงับบัญชีที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงินอย่างจริงจัง
แน่นอนว่าการจัดการไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ถ้าหากไม่ได้มีกลไกความร่วมมือ ทางการไทย-จีนและประเทศเพื่อนบ้าน เพราะความท้าทายที่แท้จริง ยังคงอยู่ที่การทำลายฐานปฏิบัติการขนาดใหญ่ในพื้นที่ชายแดนเมียนมาและกัมพูชา ซึ่งต้องได้รับการร่วมมือและการประสานงานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างที่เราได้เห็นจากฉากทัศน์ของการจับกุมนายเสอ จื้อเจียง นั่นก็เป็นปรากฎการณ์ของกลไกความร่วมมือประสานงานไตรภาคี ระหว่าง ไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน และเมียนมา ซึ่งเป็นความพยายามเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด ในการจัดการกับแหล่งกำเนิดของปัญหานั่นเองครับ
ปรากฎการณ์ทั้งหมดในการจับกุมเจ้าตัวพ่อของปัญหาครั้งนี้ ย่อมมาจากการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ด้วยการจัดการกับฐานปฏิบัติการสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ ที่อยู่ติดกับชายแดนไทย โดยมีเป้าหมายคือการทลายเครือข่าย นำตัวผู้ต้องหาและผู้เสียหายกลับประเทศ ความสำเร็จเชิงปฏิบัติการความร่วมมือนี้ ได้นำไปสู่การกวาดล้างครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ของเมียนมา ซึ่งส่งผลให้มีการส่งมอบผู้ต้องสงสัยชาวจีนจำนวนมาก และที่สำคัญคือ การช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ หลายร้อยคนให้กลับสู่ประเทศบ้านเกิดอย่างปลอดภัย การดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลสำคัญอย่างนายเสอ จื้อเจียง ได้สร้างความชอบธรรมและแรงผลักดัน ให้กับความร่วมมือไตรภาคีนี้ โดยเน้นย้ำว่า แม้แต่ผู้นำระดับสูงของเครือข่าย ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากตาข่ายของกฎหมายได้นั่นเองครับ
วิวัฒนาการของกลุ่มสแกมเมอร์ จากธุรกิจ POGO ที่ถูกกฎหมายในฟิลิปปินส์ สู่บ่อนกาสิโนในกัมพูชา และกลายพันธุ์มาเป็นแหล่งปฏิบัติการค้ามนุษย์ที่ชายแดนจีน-เมียนมา รวมถึงเมืองเมียวดีและชเวก๊กโก่ว เป็นเส้นทางอาชญากรรมที่ซับซ้อนอย่างเหนือเมฆ และการจับกุมตัวพ่ออย่างนายเสอ จื้อเจียงในประเทศไทย เป็นเพียงการเริ่มต้นของการสู้รบที่แท้จริง การเอาชนะเหนือ “กลุ่มสแกมเมอร์จีนเทา” จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อกลไกไตรภาคีนี้ยังคงต้องเข้มแข็งอย่างที่ปรากฎ และประเทศในภูมิภาคยังคงร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการปราบปรามฐานปฏิบัติการ การตัดเส้นทางการเงิน และการป้องกันไม่ให้ประเทศใดประเทศหนึ่ง ได้กลายเป็น “แหล่งกำเนิดแห่งใหม่” ของอาชญากรรมไซเบอร์ ที่ปรับตัวอยู่ตลอดเวลานั่นเองครับ