นโยบายรัฐบาลเมียนมา ภายใต้บริบทของการเตรียมส่งมอบอำนาจ

12 ต.ค. 2568 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ต.ค. 2568 | 14:46 น.

นโยบายรัฐบาลเมียนมา ภายใต้บริบทของการเตรียมส่งมอบอำนาจ คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเมียนมาเร่งผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น การส่งออกและการท่องเที่ยว เพื่อสร้างความชอบธรรมและลดความไม่พอใจของประชาชนก่อนการเลือกตั้ง
  • นโยบายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่าน เพื่อเตรียมการส่งมอบอำนาจให้รัฐบาลชุดใหม่ที่คาดว่ากองทัพจะยังเป็นแกนนำ สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
  • การกระตุ้นเศรษฐกิจยังเป็นเครื่องมือรับมือแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก และลดความขัดแย้งภายในประเทศผ่านการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น

นโยบายรัฐบาลเมียนมา ภายใต้บริบทของการเตรียมส่งมอบอำนาจ คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา

 

ช่วงนี้หากเราสังเกตดูนโยบายของรัฐบาลเมียนมา ที่ประกาศออกมาเป็นระยะ ซึ่งเราจะเห็นภาพของการเตรียมการเปลี่ยนมือของรัฐบาล สู่การส่งไม้ต่อจากรัฐบาลชุดเก่าไปสู่รัฐบาลชุดใหม่ ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 28 ธันวาคมที่จะถึงนี้ เช่น นโยบายผ่อนปรนการขอวีซ่าของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หรือนโยบายพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นวาระแห่งชาติ นโนบายส่งเสริมการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และยางพารา นโยบายส่งเสริมการส่งออกสินค้าประมง ฯลฯ

ซึ่งทุกโครงการ ล้วนเป็นการแก้ไขและบรรเทาการขาดแคลนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศแทบทั้งสิ้น ทำให้ผมเข้าใจว่า นี่เป็นการเตรียมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศมาในตลอดเวลาหลังการระบาดของโรคร้ายโควิด-19 จนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมานั่นเอง

การที่รัฐบาลเมียนมาเร่งผลักดันนโยบายเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้ อาจมองได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “กลยุทธ์การเปลี่ยนผ่าน” โดยมีวัตถุประสงค์หลายประการ เช่น การสร้างความชอบธรรมและความเชื่อมั่นก่อนการเลือกตั้ง จะเห็นว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วง 3 - 4 เดือนก่อนการเลือกตั้งใหญ่ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลที่กำลังบริหารอยู่ มีความสามารถในการนำพาประเทศผ่านวิกฤต และสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้

โดยเฉพาะการเน้นตัวเลข “การเติบโตของ GDP” แม้จะมีการเติบโตในอัตราที่จำกัดก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ในแถบภูมิภาคนี้อีกหลายประเทศ ซึ่งการกระตุ้นตัวเลขการเติบโตของ GDP ของเมียนมาที่มีอัตราที่ต่ำมากง่ายต่อการสร้างตัวเลขก็ตาม แต่ก็สามารถแสดงให้เห็นว่า มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจครับ

อีกประการหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญเช่นกัน นั่นก็คือ “การลดความไม่พอใจของประชาชน” ที่มีความยากลำบากในห้วงเวลานี้ การกระตุ้นภาคเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ เช่น การส่งออก ภาคเกษตรกรรม และภาคสินค้าประมง ซึ่งเป็นอาชีพของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นการพยายามลดความยากจนและความไม่พอใจที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง

นอกจากนี้ การกระตุ้นและดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศและนักธุรกิจในประเทศ ด้วยการออกนโยบายที่ผ่อนคลายกฎระเบียบทางการค้าบางอย่าง เช่น การอนุญาตให้ใช้รายได้จากการส่งออก ให้เป็นอัตราตลาดมากขึ้น เป็นการส่งสัญญาณให้กลุ่มธุรกิจที่ยังคงดำเนินการอยู่ในเมียนมา ได้เห็นว่ารัฐบาลใหม่จะสานต่อการสนับสนุนทางธุรกิจ นี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่น่าจับตามองครับ

นอกจากนี้ การเตรียมการถ่ายโอนอำนาจตามแผนงาน ซึ่งตามรายงานข่าว รัฐบาลเมียนมาได้ประกาศแผนการเลือกตั้งอย่างชัดเจน และมีกำหนดเวลาในช่วงปลายปีคือวันที่ 28 ธันวาคม 2568 และน่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในต้นปี 2569 การเร่งออกนโยบายตอนนี้ จึงน่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมในทางปฏิบัติ เช่น การทำให้กระบวนการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างราบรื่น ดังนั้นการดำเนินโครงการเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ในช่วงท้ายของวาระของรัฐบาลชุดนี้ จะทำให้รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาสานต่อ (ซึ่งคาดว่าจะมีฝ่ายความมั่นคงเป็นแกนหลักอยู่ดี) สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่สะดุดครับ 

นอกจากนี้ การถ่ายโอนอำนาจสู่กลไกที่จัดตั้งขึ้น โดยประกาศการยุบ SAC (State Administration Council) และการถ่ายโอนอำนาจให้กับกลไกอื่นที่ตั้งขึ้นมาทดแทน นั่นก็คือ สภาความมั่นคงและการป้องกันแห่งชาติ (NDSC) ซึ่งเป็นกลไกที่ถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญปี 2551 ทำให้มีทหารเป็นแกนนำหลักอย่างปฏิเสธไม่ได้ การเตรียมเศรษฐกิจให้พร้อม จะช่วยรองรับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ จึงเป็นคำตอบในการตอบสนองต่อแรงกดดัน จากภายนอกและภายในได้เป็นอย่างดีครับ

หากเรามามองในบริบทของแรงกดดันจากต่างประเทศ นโยบายที่มุ่งเน้นการส่งออกและปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น SPS Protocol เป็นความพยายามที่จะแสดงความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน รัสเซีย ไทย และอินเดีย ท่ามกลางแรงกดดันและการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเช่นกัน

อีกหนึ่งปัจจัยก็คือ แรงกดดันจากสถานการณ์ความไม่สงบ การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยเฉพาะภาคการเกษตรและภาคประมง จะเป็นความพยายามที่จะสร้างความมั่นคงในพื้นที่ ที่รัฐบาลเมียนมายังคงสามารถที่จะควบคุมได้ ท่ามกลางความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองที่ยังคุกรุ่นในหลายพื้นที่ หากมีการสร้างงานหรือสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน แรงกดดันก็จะผ่อนคลายลงไปเป็นธรรมดาครับ

การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนของรัฐบาลเมียนมาในปัจจุบัน จึงไม่ใช่แค่การกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นการแสดงผลงานก่อนการเลือกตั้ง โดยในมุมมองเชิงบวกอาจเป็นสัญญาณว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะก้าวไปสู่การเลือกตั้ง และยอมรับการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างเป็นทางการ ตามกรอบรัฐธรรมนูญปี 2551

ถ้าหากมองในมุมมองเชิงวิจารณ์ นโยบายเหล่านี้อาจจะถูกมองว่าเป็น “เกมการเมือง” ที่ใช้เพื่อสร้างความชอบธรรม ให้แก่กองทัพเมียนมาในการครองอำนาจต่อไป โดยอาศัยกลไกการเลือกตั้ง ที่ถูกออกแบบภายใต้เงื่อนไขที่กองทัพกุมความได้เปรียบ เช่น การสงวนที่นั่ง 25% ในสภา ดังนั้นการเร่งนโยบายเศรษฐกิจในช่วงนี้ จึงเป็นการตอกย้ำ “ความเชื่อมโยง” ระหว่างเป้าหมายทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งและเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (การฟื้นฟูความเชื่อมั่น) ภายใต้การนำของกองทัพครับ

หากมองในมุมของการเมืองระดับภูมิภาคและระดับโลก นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการเตรียมการเลือกตั้งของเมียนมาในช่วงนี้ มีนัยสำคัญหลัก คือ การปรับสมดุลอำนาจระหว่างจีน-ตะวันตก ต้องยอมรับว่า นโยบายเศรษฐกิจของเมียนมา ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปรับสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสองขั้วอำนาจหลัก นั่นคือสหรัฐอเมริกาและจีน เพราะการเอาใจจีนและพันธมิตร (Belt and Road Initiative : BRI)  นโยบายเร่งรัดการส่งออกและการพัฒนาภาคการเกษตร มีเป้าหมายหลักคือการเชื่อมต่อเศรษฐกิจกับจีนและไทย

การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนในช่วงนี้ เป็นการแสดงความมุ่งมั่นที่จะสานต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้ “BRI” เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษจ้าวผิ่ว หรือท่อก๊าซและน้ำมัน เพื่อรับเงินทุนและการสนับสนุนจากจีนและพันธมิตรในภูมิภาค อีกทั้งเป็นการลดแรงกดดันจากการคว่ำบาตรของตะวันตก การพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการค้าชายแดนและการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการลดผลกระทบของการคว่ำบาตรจากสหรัฐและยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่รัฐบาลเมียนมาและธุรกิจในเครือข่าย การที่รัฐบาลประกาศนโยบายที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้พวกเขาสามารถโต้แย้งกับประชาคมโลกว่า “พวกเขายังสามารถบริหารประเทศและเศรษฐกิจได้” แม้จะเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรก็ตาม

นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมการเลือกตั้ง เป็นกลไกสำคัญที่เมียนมาใช้จัดการกับแรงกดดันจากสมาชิกอาเซียน ด้วยการตอบสนองต่อ “ฉันทามติ 5 ข้อ” การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งตามกำหนดเวลา (แม้จะถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่เสรีและไม่เป็นธรรม) เป็นความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าตนได้ทำตาม ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน แม้จะสร้างความอึดอัดให้แก่ประเทศสมาชิกบ้าง แต่การจัดเลือกตั้งในขณะที่สงครามกลางเมืองยังคุกรุ่น ก็จะเป็นการบังคับให้ประเทศสมาชิกอาเซียน ต้องตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธผลการเลือกตั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การแตกแยกภายในกลุ่มอาเชี่ยนเอง เมียนมาใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการท้าทายอำนาจการตัดสินใจของอาเชี่ยน น่าจะเป็นเรื่องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งครับ