KEY
POINTS
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ให้สัมภาษณ์รายการวิทยุสถานีหนึ่ง เป็นเรื่องของการที่นายกรัฐมนตรีฯพณฯท่านอนุทิน ชาญวีรกุล ได้ลงนามใน MOU ว่าด้วยแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) กับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากรายการวิทยุมีเวลาที่จำกัด ผมเลยไม่สามารถลงรายละเอียดได้มากนัก วันนี้ผมจึงขออนุญาตแฟนคลับทุกท่าน นำเรื่องดังกล่าวมาเขียนในคอลัมน์นี้ครับ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่คือการที่ไทยกระโดดเข้าสู่ สมรภูมิทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยมีแร่หายาก (Rare Earth Elements : REEs) เป็นเดิมพัน ซึ่งแร่หายากโดยเฉพาะแร่หนักหายาก (Heavy Rare Earth Element :HREEs) เป็นเรื่องที่เราติดตามกันมานาน ตั้งแต่เริ่มที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่งแล้วครับ
ซึ่งเจ้าตัวแร่หนักหายากหรือ HREEs ตัวนี้ ผมอยากจะเรียกมันว่า “เจ้าช้างยักษ์ในห้อง” (The Giant elephant in the room) เพราะเจ้าแร่หนักหายากนี้ คือวัตถุดิบสำคัญของเทคโนโลยีแห่งอนาคต ตั้งแต่ รถ EV, ชิปคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์การแพทย์, ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้คุมตลาดเกือบทั้งหมด สหรัฐอเมริกาจึงจำเป็นต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ ที่ไม่พึ่งพาจีนให้ได้นั่นเอง
ในการลงนาม MOU ครั้งนี้ จึงเป็นเครื่องมือที่สหรัฐอเมริกา ได้ใช้มันมาดึงเอาประเทศไทยเราเข้าร่วมวง โดยมีประเทศเมียนมาในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตแร่หนักหายากที่สำคัญของโลก และเป็น “สารตั้งต้น” ของความเสี่ยงนี้ ก็จะต้องเข้ามามีบทบาทด้วยเช่นกันครับ
หากเรามาวิเคราะห์ดูให้ละเอียดในปมของประเทศเมียนมา จะเห็นว่าเมียนมา คือแหล่งผลิตแร่หนักหายาก (HREEs) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่การทำเหมืองส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง (Conflict Zones) ที่เป็นพื้นที่ในเขตอิทธิพลของกองกำลังชนชาติพันธุ์เสียเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้รัฐบาลเมียนมาไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้อย่างทั่วถึง การดำเนินการขุด-ชะล้างเพื่อผลิตแร่ จึงเป็นไปอย่างไร้มาตรฐาน
ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะเป็นผู้นำเข้าผลผลิต และเป็นผู้รับซื้อแร่ธรรมชาติเกือบทั้งหมดจากเมียนมา แม้ว่าปัญหา HREEs ที่การทำเหมืองเหล่านี้ จะสร้างมลพิษร้ายแรง (ใช้สารเคมีทำลายสิ่งแวดล้อม) และมีรายงานการใช้ แรงงานที่เปราะบางและผิดกฎหมาย (Human Rights issue) แต่เงินที่ได้จากการซื้อ-ขาย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบางส่วน ที่เล็ดลอดไปสู่มือของฝ่ายที่ขัดแย้งกับรัฐบาล จึงยังคงถูกนำมาใช้เป็นทุนสนับสนุนความขัดแย้งได้ครับ
หากจะถามว่าแล้วทำไมสหรัฐอเมริกาจึงต้องมาใช้มือของประเทศไทยละ? แน่นอนว่าในปัจจุบันนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการคว่ำบาตรประเทศเมียนมา ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2021 เป็นต้นมา ดังนั้นหากจะมองอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว สหรัฐอเมริกาก็เหมือนจะ “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลอยากกินน้ำแกง” นั่นแหละครับ แม้ปากจะบอกว่า ไม่ต้องการให้แร่ “สกปรก” เหล่านี้ เข้าไปปนเปื้อนเข้าสู่ Supply Chain ของตน แต่อเมริกาก็ยังคงต้องมีความต้องการเจ้าแร่หนักหายาก(HREEs)เหล่านี้อยู่มาก
ดังนั้นในฐานะเจ้าถิ่นที่มีพรมแดนที่ยาวติดต่อกับประเทศเมียนมา ไทยจึงเป็น “ทางผ่าน” และ “จุดแปรรูปแร่” ที่สำคัญในภูมิภาค การทำ MOU จึงเป็นเหมือน “มาตรการบังคับ” ให้ไทยต้องทำหน้าที่เป็นประตูคัดกรองแร่จากประเทศเมียนมา ให้เป็น “แร่ที่มีความสะอาด”ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานตะวันตก และยังเป็นฐานให้กับสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
จะเห็นว่านี่คือไฟต์บังคับ ที่ประเทศไทยเราต้องเข้าสู่ “กับดักของวังวนในสงครามการค้า” ของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพราะแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาในการทำ MOU เพื่อเป็น “บัตรผ่าน” ด้วยการนำเอา ภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแร่อย่างมีมาตรฐาน และการลงทุนมูลค่ามหาศาลจากสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด เช่น โรงงานแบตเตอรี่ EV การแปรรูปแร่ในการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรม(Innovation) แต่เราก็ต้องแลกมาด้วยภาระในการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ของแร่ที่เข้มงวด และแรงกดดันจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
หากไทยเริ่มยกระดับการตรวจสอบการผลิตแร่ และผลักดันให้สินค้าจากวัตถุดิบที่ได้จากแร่หนักหายาก(HREEs) ที่ออกสู่ตลาดไป ผู้ที่เสียผลประโยชน์โดยตรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือใคร? เพราะทุกวันนี้ประเทศเมียนมากับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นรัฐบาลจีนอาจจะไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ หรือถ้ารุนแรงก็อาจจะมีการใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าหรือทางการทูตต่อไทยได้เช่นกันครับ
ไทยเราคงจะต้องสร้างสมดุลทางภูมิ-รัฐศาสตร์ให้ดี โดยการที่ไทยเราจะตัดสินใจใดๆ ก็ตาม เราต้องคำนึงถึงความเป็นกลางให้ได้ และต้องไม่ “เลือกข้างทางเศรษฐกิจ” เพราะโดยในทางด้านความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์แล้ว ไทยเรากับสาธารณรัฐประชาชนจีนและเมียนมา ยังต้องดำเนินต่อไป การเข้าร่วมวง Critical Minerals จะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นจะเป็นการยอมรับความเสี่ยง ที่จะถูกใช้เป็น “หมากตัวหนึ่งบนกระดาน” ในสงคราม Supply Chain ของโลกอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้นั่นเองครับ
แม้ว่ารัฐบาลไทยเราได้ลงนาม MOU ในลักษณะของการไม่ผูกขาด (Non-Binding MOU) ซึ่งได้แสดงเจตจำนงร่วมกันว่า ไทยเรายังสามารถที่จะดำเนินการ ในเรื่องการทำการพัฒนาการผลิตแร่หายากกับประเทศอื่นได้ เราก็ควรต้องแสดงความเป็นผู้นำในการสร้าง “กติกาที่สะอาด” ในภูมิภาคนี้ เพื่อให้สามารถคว้าโอกาสทางเศรษฐกิจจากตะวันตกได้ ขณะเดียวกันก็สามารถจัดการกับผลกระทบและความขัดแย้งจากเพื่อนบ้านและมหาอำนาจ โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อย่างชาญฉลาดที่สุด
แม้ว่าไทยเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นทางผ่านของแร่ และแรงงานจากประเทศเมียนมาได้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธโอกาสทางเศรษฐกิจจากมหาอำนาจตะวันตกได้เช่นกัน ดังนั้นทางสองแพร่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จึงบีบให้ไทยต้อง “ชาญฉลาด” ในการบริหารความเสี่ยง โดยการใช้ MOU HREEs ในครั้งนี้ ให้เป็น “อำนาจต่อรองกลายๆ” ในการยกระดับมาตรฐานของตนเองและเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าสินค้าที่ผลิตจากแร่หนักหายาก(HRREs) ที่เป็นสินค้าไฮเทคที่มีนวัตกรรม จริยธรรม ได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังสามรถหลีกเลี่ยงการเป็น “สนามรบในวังวนของสงคราม Supply Chain สหรัฐฯ-จีน” ได้อย่างชาญฉลาดเลยครับ