นโยบายปกป้องการรุกล้ำจากมหาอำนาจ

19 ต.ค. 2568 | 23:30 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ต.ค. 2568 | 23:57 น.

นโยบายปกป้องการรุกล้ำจากมหาอำนาจ คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • จีนและเมียนมาดำเนินนโยบายปกป้องตนเองจากอิทธิพลมหาอำนาจตะวันตก ผ่านมาตรการผสมผสานทั้งด้านเศรษฐกิจ, การทหาร, กฎหมาย และการควบคุมข้อมูล
  • จีนมุ่งสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจผ่านนโยบายพึ่งพาตนเองและโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เพื่อขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์
  • เมียนมาซึ่งเผชิญแรงกดดันจากชาติตะวันตก จำเป็นต้องพึ่งพาพันธมิตรอย่างจีนและรัสเซีย พร้อมทั้งออกมาตรการควบคุมองค์กรต่างชาติและสื่อภายในประเทศอย่างเข้มงวด

นโยบายปกป้องการรุกล้ำจากมหาอำนาจ คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์
 

เมื่อวันที่ 14 - 16 ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปร่วมประชุมสัมมนา China-South Asia Business Forum ที่เมืองอวีซี มณฑลยูนนาน ในการประชุมครั้งนี้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะเจ้าภาพ ได้เชิญประเทศไทย กัมพูชา เมียนมา มาเลเซีย เกาหลีใต้ และประเทศอัฟกานิสถาน

แม้ประเทศที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่ประเทศเอเชียใต้ แต่ประเทศเจ้าภาพก็ได้เชิญให้เข้าร่วมประชุมด้วย ตลอดงานเท่าที่ผมได้รับฟังการบรรยายของประธานในงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีน ทำให้ผมต้องคิดตามและพอจะมองเห็นภาพของการทำ “สงครามการค้าระหว่างจีน-อเมริกา” ที่กำลังพันตรูกันอยู่ในวันนี้ ว่ามีความรุนแรงและวุ่นวายขนาดไหนครับ ผมจึงอยากให้เพื่อนๆ ที่ติดตามคอลัมน์ของผม ลองจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดนะครับ 

หากเรามองโดยหลักการแล้ว รัฐบาลจีนและรัฐบาลเมียนมาที่ต้องการ “ปกป้องตัวเองจากอิทธิพลของการรุกล้ำของมหาอำนาจตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาและพันธมิตร” มักใช้ชุดมาตรการที่ผสมกันระหว่างมาตรการด้านเศรษฐกิจ (ลดความเปราะบาง, สร้างความพึ่งพาตนเองในสาขากลาง-ยุทธศาสตร์) มาตรการด้านความมั่นคงทางการทหาร (เสริมกำลัง-อำนาจที่มีอำนาจตอบโต้) และมาตรการด้านกฎหมาย และการควบคุมข้อมูล (กฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ ควบคุมสื่อและ NGO) ซึ่งทำให้เราต้องมองดูทั้งสองประเทศนี้อย่างใกล้ชิด ไม่ต้องกะพริบตาเลยครับ เพราะประเทศไทยเรากำลังอยู่บนเส้นทางของการดำเนินนโยบายดังกล่าว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ 

ที่ผ่านๆ มารัฐบาลจีน ได้เดินหน้ายุทธศาสตร์ต่างประเทศ ที่เห็นชัดเจนมากกับประเทศเมียนมา ในฐานะพันธมิตรทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยได้ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการลงทุนท่าเรือน้ำลึกที่เมืองเจ้าผลิ่ว และการสร้างท่อขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเข้าสู่มณฑลยูนนาน อีกทั้งได้มีการลงทุนสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ที่จุดหมายปลายทางอยู่ที่อ่าวย่างกุ้ง มหาสมุทรอินเดีย (โครงการ BRI) ซึ่งล้วนแต่เป็นเมกะโปรเจกต์แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดการภาพลักษณ์และข้อมูล ที่มีการจัดการประชาสัมพันธ์ บล็อกข่าวหรือแพลตฟอร์มต่างประเทศที่เราได้เห็นภาพต่างๆ จนชินไปแล้วนั่นเอง

ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้เราต้องคิดตาม โดยเฉพาะประเทศจีนและประเทศเมียนมา ต่างก็มีการดำเนินการที่แตกต่างกันออกไป แต่พอจะมองออกถึงจุดแข็ง-จุดอ่อนและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าได้ สำหรับประเทศจีนแล้ว แนวทางสำคัญที่มักถูกใช้ในปัจจุบันนี้ คือเขาต้องพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยี (tech self-reliance) ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหนัก ในด้านเซมิคอนดักเตอร์ AI และการผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อไม่ให้ถูกคว่ำบาตร หรือจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญจากมหาอำนาจ นอกจากนี้ยังมีนโยบายเศรษฐกิจแบบผสม เช่น “dual circulation” เพื่อขับเคลื่อนการบริโภคภายใน และรักษาสภาพคล่องการส่งออกควบคู่กันไป เพื่อลดความเสี่ยงจากแรงกดดันภายนอก โดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันตกและสหรัฐอเมริกานั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของเทคโนโลยีขั้นสูงนั้น ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีกลุ่มพี่มิตร (มิจฉาชีพ) ทั้งหลาย ที่เป็นประชาชนของเขาเอง สามารถใช้ช่องทางดังกล่าว แฝงตัวเข้ามาทำมาหากิน รัฐบาลจีนจึงต้องบูรณาการกฎหมายความมั่นคงและไซเบอร์ตามมา และจำเป็นต้องขยายกรอบกฎหมายที่ควบคุมข้อมูล การลงทุนต่างชาติ และกิจกรรมที่ถูกมองว่าเป็น “ภัยคุกคามทางความมั่นคง” นั่นเอง นอกจากนี้ยังต้องมีการคัดกรองการค้า และการควบคุมการลงทุนอย่างเข้มงวดกับบริษัทต่างชาติ และการเข้าซื้อกิจการในสาขาที่สำคัญเช่นกัน

ในขณะที่การขยายอิทธิพลนอกประเทศด้วยนโยบาย Belt and Road (BRI) ของรัฐบาลจีน ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศอื่นในภูมิภาคมาพึ่งพา การเสริมกำลังทางทหาร และการดำเนินการระบบตอบโต้ทางไฮบริด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร ใช้มาตรการทางการเมือง-เศรษฐกิจในการกดดันคู่แข่งมหาอำนาจ และการจัดการข้อมูลสื่อ เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มข้อมูลภายใน และการไหลของข่าวสารจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ ประเทศจีนยังมีขนาดเศรษฐกิจและตลาดภายในใหญ่ มีงบประมาณ R&D ที่สูง อีกทั้งอำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็งและรวมศูนย์ แต่จีนก็ยังมีจุดอ่อนความเสี่ยงให้เห็นเช่นกัน เช่น ระบบพึ่งตนเองที่แพงและยาก จึงทำให้ประเทศจีนได้รับผลกระทบต่อนวัตกรรมจากการปิดกั้น การแลกเปลี่ยนความรู้สากลอย่างเป็นระบบ จึงทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศ ที่ความเสี่ยงทางการค้าจนกระทบการเติบโตด้วยเช่นกัน

ในขณะที่ประเทศเมียนมาเอง ในฐานะพันธมิตรร่วมของประเทศจีน แนวทางและบริบทของเมียนมา จึงจำเป็นต้องจ้องมองดูกันอย่างใกล้ชิด เราคงต้องเน้นว่าเมียนมามีบริบทที่ค่อนข้างพิเศษ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2021เป็นต้นมา รัฐบาลเมียนมามีแนวโน้มเปลี่ยนท่าทีต่างประเทศอย่างค่อนข้างจะชัดเจน เหตุเพราะเมียนมาต้องอาศัยความช่วยเหลือและการค้ำจุนจากจีนและรัสเซียอย่างไม่มีทางเลือก ประเทศเมียนมาที่โดนแรงกดดันจากตะวันตก รัฐบาลเมียนมาจึงจำเป็นต้องหันไปหาพันธมิตร  ที่ไม่สนใจประเด็นสิทธิมนุษยชน เพื่อรับการลงทุนและการสนับสนุนทางการทหารและการทูต

แต่อย่างไรก็ตาม เมียนมาเองก็ต้องมีการออกกฎหมายควบคุม NGOs และการลงทุน เพื่อจำกัดบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศ และแหล่งเงินทุนที่มาจากตะวันตกด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังต้องมีการปรับนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อดึงการลงทุนจากประเทศที่เป็นมิตร เปิดเส้นทางพลังงานและพอร์ตเชื่อมกับประเทศจีน โดยไม่จำเป็นต้องสนใจว่า สัญญาทรัพยากรที่มีข้อผูกมัดยาวกับบริษัทต่างชาติที่เป็นมิตรหรือไม่ เพราะเมียนมาไม่มีทางเลือกมากนักนั่นเองครับ

อีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดของเมียนมาในปัจจุบัน ก็คือการไม่ยอมรับรัฐบาลเมียนมาของกลุ่มต่อต้าน จนทำให้เกิดการสู้รบภายในประเทศ ดังนั้นเมียนมาจึงจำเป็นที่ต้องออกมาตรการการควบคุมประชาชนและสื่อ เพิ่มการสอดส่องภายในประเทศ ที่จะต้องใช้พลังทางการทหาร และพลังด้านเศรษฐกิจอย่างมาก เพื่อจะทำอย่างไรให้ลดอิทธิพลของแนวคิดต่อต้านรัฐบาล ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศให้ได้นั่นเอง

สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ เมียนมามักจะใช้ความไม่แน่นอนทางการทูต มาเป็นเครื่องมือในการเล่นกับความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของเมียนมาเอง ดั่งที่ผมได้เห็นในเวทีสัมมนาระดับประเทศ ผมมักจะได้มีโอกาศได้พบเจอกับภาคเอกชน ที่เป็นตัวแทนของประเทศเมียนมาออกมาร่วมงานสัมมนาด้วยเสมอ เพราะการใช้เวทีระดับสากลนี้ เราจะไม่มีข้อจำกัดระหว่างเอกชนต่อเอกชน เพราะเราต่างก็เป็นมิตรประเทศกันนั่นเองครับ 

หากเราจะมองลงไปให้ลึกซึ้ง แม้ขนาดเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ จะมีขนาดที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่แนวทางที่สมดุลทางการถ่วงอำนาจของมหาอำนาจชาติตะวันตกของทั้งจีนและเมียนมา (ข้อคิดเชิงนโยบายสำหรับผู้กำหนดนโยบาย) ใช้การ “hedging” ในการไม่เลือกข้างเด็ดขาด จนทำให้ต้องพึ่งพาเพียงชาติเดียว แต่เป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อรักษาอิสรภาพการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในบุคลากรและนวัตกรรมภายใน เพื่อเปิดให้มีความร่วมมือระหว่างประเทศ แบบที่มีการควบคุมความเสี่ยง (joint ventures ที่มีการจัดการ IP ที่ชัดเจน) มีความโปร่งใสในนโยบายเศรษฐกิจ และการใช้กฎหมายที่จำเป็นแต่สมดุล ด้วยการสร้างกรอบกฎหมายความมั่นคงที่เคารพสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม มากกว่าจะเป็นกฎหมายปิดกั้นแบบรวมศูนย์ การใช้การทูตเชิงป้องปราม (deterrence) พร้อมช่องทางเปิดการสื่อสาร ที่มีทั้งท่าทีที่เข้มแข็งเมื่อจำเป็น แต่ยังคงรักษาช่องทางการเจรจาไว้เสมอ ดังนั้นการจัดการประชาสัมพันธ์ และความชอบธรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งมีนโยบายป้องกันประเทศของตน

จึงต้องมีการอธิบายเชิงนโยบายและมีเหตุผลทางกฎหมายและความมั่นคง เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการรุกรานสิทธิเสรีภาพประชาชนภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศเมียนมา ที่ได้มีความพยายามปิดตัวจากมหาอำนาจชาติตะวันตก แต่ก็จะต้องจ่ายราคาแพงในรูปของการชะลอเทคโนโลยี และการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่อาจจะได้กลับมาในรูปของ “ความมั่นคงเชิงการเมืองระหว่างประเทศ” ในระยะสั้น การพึ่งพาความช่วยเหลือจากมหาอำนาจอื่น ดั่งตัวอย่างเช่น ประเทศจีน แม้จะนำมาซึ่งพันธะผูกพันระยะยาว ที่ลดอิสระทางนโยบาย “ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ต้องจับตามองกันต่อไปครับ