KEY
POINTS
ประเทศเมียนมาช่วงหลังการระบาดของ COVID-19 และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ได้ทำให้ประเทศเมียนมา กลายเป็นดินแดนที่เงียบเหงาจากการเมือง และเศรษฐกิจไปเสียหลายปีเลยทีเดียว วันนี้รัฐบาลเมียนมาได้กลับมาพยายามดึงดูดสายตาชาวโลกอีกครั้ง ด้วยการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ แต่ถ้ามองกันให้ลึกๆ การกลับมาของนักท่องเที่ยวในวันนี้ อาจจะไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของการชมเจดีย์โบราณ แต่จะเป็นการเดินเกมทางยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งรัฐบาลกำลังใช้การท่องเที่ยวเป็นด่านหน้าหรือ “ลูกบอลนำร่อง” เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการดึงดูดเงินสกุลแข็ง และเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงก็เป็นไปได้ครับ
หลังจากที่การลงทุนและการค้าจากต่างชาติได้ชะงักงันไป เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก ประเทศเมียนมาก็ประสบปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ (Hard Currency) อย่างรุนแรง จนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอ่อนลงมากถึง 300 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อเป็นเลข 2 หลักมากว่า 5 ปี
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำมากนั่นเอง การจะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)เข้ามาลงทุน ก็เป็นไปยากมาก อีกทั้งการค้าระหว่างประเทศ ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ดังนั้นการที่จะหาเงินตราสกุลต่างประเทศที่แข็งค่า มาเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จึงต้องหันมาเสาะหาเงินเร็วหรือ Quick Money “การท่องเที่ยว” จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ ที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ในยุคนี้เงินดอลลาร์และเงินตราต่างประเทศอื่นๆ คือ “ลมหายใจ” นั่นเองครับ
การตามล่า “เงินเร็ว” (Quick Money) ด้วยการท่องเที่ยว คือคำตอบของช่องทางที่เร็วที่สุด ในการนำ เงินดอลลาร์หรือเงินสกุลอื่นๆ เข้าสู่ประเทศโดยตรงอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้ในการนำเข้าสินค้าที่จำเป็น และประคองค่าเงินจ๊าดที่อ่อนแอ การยกเลิกเคอร์ และการจัดทริปสำรวจ (FAM Trip) ให้กับเอเจนซี่ท่องเที่ยวต่างชาติ จึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า “เราต้องการเงินของคุณ” และเป็นการสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ของการเปิดประเทศ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า เมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง กรุงย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์ และเมืองพุกาม สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย คือการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติที่ยังลังเลใจอยู่ เมื่อนักท่องเที่ยวกล้าเดินทางเข้ามา นั่นหมายถึงความมั่นคงในพื้นที่หลักๆของประเทศ กำลังกลับคืนมาแล้ว ซึ่งเป็นข้อความที่ทรงพลังกว่าการแถลงการณ์ใดๆทั้งสิ้นครับ
ด้านภาคการเมืองก็เช่นเดียวกัน แสงไฟจากเจดีย์ทองคำอย่าง “มหาเจดีย์ชเวดากอง” ที่นำพามาจากการเข้ามาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ ในก่อนวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ความสงบจากไฟที่คุกรุ่นทางด้านความไม่สงบได้ดับลงแล้ว ดังนั้นการท่องเที่ยวจึงไม่ได้มีแต่เรื่อง “เงินทอง” เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองชั้นดี ที่ถูกนำมาใช้เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2025 นี้ด้วยเช่นกัน
การท่องเที่ยวในวันนี้ จึงเป็น “ตั๋วสู่ความชอบธรรม” ของรัฐบาลเมียนมา จากการที่ประเทศเปิดรับชาวต่างชาติได้อย่างเสรี แสดงให้โลกเห็นว่า รัฐบาลเมียนมาสามารถควบคุมความสงบเรียบร้อย และสามารถบริหารประเทศได้ตามปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองสำคัญ เป็นการแสดงออกซึ่งความมั่นคง ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความชอบธรรม (Legitimacy) ให้กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้เช่นกัน
นอกจากนี้ การปรับโฉมใหม่การปรับโครงสร้างอำนาจ หรือการเปลี่ยนชื่อองค์กรบริหาร จากสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) มาเป็นคณะกรรมการความมั่นคงและสันติภาพแห่งรัฐ (SSPC) พร้อมกับการเดินหน้านโยบายด้านการท่องเที่ยวอย่างเข้มแข็ง คือการ “ปรับโฉมใหม่” ของภาพลักษณ์รัฐบาลเมียนมา เพื่อลดแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติตะวันตก และทำให้การเข้าสู่การเลือกตั้งดูราบรื่น และมีเสถียรภาพมากที่สุด แม้ว่าเราจะทราบกันดีว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ อาจจะไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนครอบคุมได้ในทุกพื้นที่ก็ตาม แต่ก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นสันติภาพในเมียนมาที่ดีที่สุดในวันนี้ครับ
แน่นอนว่าแม้การท่องเที่ยวจะเป็น “ลูกบอลนำร่อง” ที่ประสบความสำเร็จ แต่การจะนำไปสู่การค้าระหว่างประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศ(FDI)ขนาดใหญ่ ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคและข้อจำกัดสำคัญที่แก้ไขได้ยากหลายๆด้าน จะเห็นว่าด่านหินที่รออยู่ ยังต้องรอคิวในการออกนโยบายที่สำคัญๆ เพื่อมาแก้ปัญหาที่สั่งสมมานาน หนึ่งในนั้นคือปัญหาทางด้าน “การควบคุมเงินตราต่างประเทศ” นั่นเองครับ
วันนี้เราต้องยอมรับว่า รัฐบาลเมียนมาไม่มีทางเลือก ที่จะต้องออกมาควบคุมเงินตราต่างประเทศ เพราะเมียนมาได้ถูกชาติตะวันตกแซงชั่นมากว่า 5 ปี ทำให้เกิดปัญหาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่รุนแรง รัฐบาลจึงได้มีการควบคุมการนำเข้าสินค้าและระบบการเงินภายในประเทศ จึงนำมาซึ่งอุปสรรคใหญ่ที่สุด สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งก็คือการควบคุมเงินตราต่างประเทศที่เข้มงวดของรัฐบาลเมียนมา การที่บริษัทต่างชาติไม่สามารถโอนกำไรกลับประเทศได้อย่างสะดวก หรือเข้าถึงเงินดอลลาร์ได้ง่ายเพื่อนำเข้าวัตถุดิบ ทำให้ธุรกิจระยะยาวที่ต้องการความแน่นอนทางการเงิน ไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาลงทุนในเวลานี้ นี่ก็คืออุปสรรคและจุดตายของการควบคุมเงินตรานั่นเอง
ผมเชื่อว่าตราบใดที่ชาติตะวันตกยังคงใช้มาตรการคว่ำบาตร ต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจและภาคส่วนธุรกิจที่สำคัญในเมียนมา การลงทุนจากต่างชาติ ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากๆ ประเทศเมียนมาจึงต้องพึ่งพาเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวจากเพื่อนบ้านอย่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นหลัก จนกว่ากฎหมายและสถานการณ์ทางการเงินจะผ่อนคลายลง ซึ่งก็จะต้องเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงนั่นเองครับ
การเดิมพันที่ยิ่งใหญ่จากการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวของเมียนมา จึงเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญ ที่ต้องใช้ความสวยงามทางวัฒนธรรม เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง หากการท่องเที่ยวประสบความสำเร็จ ในการดึงดูดเงินตราต่างประเทศและสร้างความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงได้ รัฐบาลก็จะมีกำลังมากพอที่จะค่อยๆ ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ทางการเงิน ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อการค้าและการลงทุนในอนาคตสำหรับนักเดินทางที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ เมียนมาในวันนี้ ท่านอาจจะได้มีโอกาสได้เห็นทัศนียภาพที่สวยงามและแปลกตา แต่สำหรับผู้ที่สนใจการค้าและการลงทุน การรอให้ “ลูกบอลนำร่อง” ใบนี้ส่งสัญญาณที่ดีกว่านี้ ซึ่งผมเชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอ เพราะการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ในวันที่ 28 ธันวาคมที่จะถึงนี้ จะเป็นคำตอบที่เราๆท่านๆรอคอยกันอยู่ครับ