ยุทธศาสตร์การแผ่อิทธิพลด้วยระเบียงเศรษฐกิจจีน - เมียนมา

26 ต.ค. 2568 | 22:30 น.

ยุทธศาสตร์การแผ่อิทธิพลด้วยระเบียงเศรษฐกิจจีน - เมียนมา คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • ระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา (CMEC) เป็นโครงการยุทธศาสตร์ของจีนเพื่อขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ และสร้างเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันเพื่อลดการพึ่งพาช่องแคบมะละกา
  • โครงการนี้ช่วยให้จีนแก้ปัญหา "กับดักช่องแคบมะละกา" (Malacca Dilemma) สร้างหลักประกันความมั่นคงทางพลังงานและเส้นทางการค้าใหม่ที่ไม่ต้องผ่านจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ควบคุม
  • เมียนมาได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น แต่ต้องเผชิญความเสี่ยงในการเป็น "ลูกหนี้เชิงยุทธศาสตร์" ซึ่งอาจกระทบต่ออธิปไตยและสร้างความขัดแย้งภายในประเทศเพิ่มขึ้น
  • การขยายอิทธิพลของจีนผ่านโครงการนี้ส่งผลกระทบต่อสมดุลอำนาจในภูมิภาค สร้างความกังวลให้อินเดีย และทำให้ประเทศในอาเซียนต้องปรับตัว

ยุทธศาสตร์การแผ่อิทธิพลด้วยระเบียงเศรษฐกิจจีน - เมียนมา คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นภาพ พลเอกอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย ได้ไปตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงจีน-เมียนมา ที่เมืองปิ่นอู ลิน (เดิมชื่อเมืองเม่ เมี่ยว) ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่สร้างเสริมความร่วมทางด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่ในมุมมองของผม ผมเชื่อว่าหากโครงการนี้สำเร็จ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังสามารถเสริมสร้างอิทธิพลทางด้านภูมิ-รัฐศาสตร์อีกด้วยครับ

เป็นที่ทราบดีว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา” (China-Myanmar Economic Corridor: CMEC) ได้กลายเป็นหนึ่งในโครงการที่ถูกจับตามองมากที่สุด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะแม้ชื่อจะฟังดูเป็นโครงการด้านเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างถนน รถไฟ และท่าเรือ เพื่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่หากมองให้ลึกลงไป เราจะพบว่านี่คือ “หมากสำคัญในเกมภูมิ-รัฐศาสตร์” ที่รัฐบาลจีนได้วางไว้อย่างรอบคอบ เพื่อขยายอิทธิพลของตนในภูมิภาคนี้ และลดการพึ่งพาเส้นทางทะเลที่ถูกควบคุมโดยสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรชาติตะวันตก อีกทั้งยังเป็นการเปิดประตูหลังบ้าน(ฝั่งตะวันตกของประเทศ) จากทางฝั่งเมืองคุนหมิงมณฑลยูนนาน สู่ทะเลอันดามัน ที่เป็นเส้นเลือดใหม่ของจีน

โครงการ CMEC เป็นส่วนหนึ่งของโครงการยักษ์ใหญ่ “Belt and Road Initiative” (BRI) ที่รัฐบาลจีนได้ผลักดันตั้งแต่ปี 2013 มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงเมืองคุนหมิงในมณฑลยูนนาน เข้ากับเมืองท่าสำคัญของประเทศเมียนมาอย่างกรุงย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และจ้าวผลิ่ว (Kyaukphyu) บนชายฝั่งทะเลอันดามัน รวมระยะความยาวกว่า 1,700 กิโลเมตร นี่คือการสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ ท่อส่งน้ำมัน และท่าเรือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ด้อยพัฒนา

แต่ในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว มันคือ “ทางออกทะเลสายใหม่ของจีน” ที่จะช่วยให้จีนสามารถนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง หรือส่งออกสินค้าไปยังตลาดยุโรป โดยไม่ต้องผ่าน “ช่องแคบมะละกา” เหมือนที่ผ่านๆ มา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกา และประเทศพันธมิตรควบคุมอยู่ นักวิเคราะห์หลายคนที่ต่างมองเห็น และเรียกปัญหานี้ว่า “Malacca Dilemma” หรือ “กับดักช่องแคบมะละกา” เพราะหากเกิดความขัดแย้งทางทะเลขึ้นจริง จีนอาจถูกตัดขาดจากเส้นทางพลังงานหลักของตนทันที การมีเส้นทาง CMEC ผ่านเมียนมาจึงเป็นเหมือน “ประกันความมั่นคงทางพลังงาน” ของจีนในระยะยาวครับ

ต้องเข้าใจว่า ในยุคปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจคือเครื่องมือ อิทธิพลคือเป้าหมาย แม้โครงการนี้จะถูกเสนอในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่แท้จริงแล้ว CMEC คือ “หมากทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่รัฐบาลจีนใช้เพื่อสร้างอิทธิพลในประเทศเมียนมาและภูมิภาคโดยรอบ ในอีกประเด็นหนึ่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเมียนมา มีชายแดนติดอยู่กับภาคตะวันตกของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความยาวกว่าสองพันกิโลเมตร ซึ่งจะทำให้ประเทศจีนเข้าถึงทะเลอันดามันได้โดยตรง

นอกจากนี้เมียนมายังเป็น “กันชน” ให้ระหว่างจีนกับอินเดีย ซึ่งอินเดียก็เป็นคู่แข่งสำคัญทางยุทธศาสตร์ของจีน เพราะอินเดียมีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าจีนไปแล้ว ดังนั้นการลงทุนของจีนในประเทศเมียนมา จึงไม่ได้มีเป้าหมายเพียงผลกำไรทางเศรษฐกิจ แต่คือการ “ซื้อความสัมพันธ์ระยะยาว” และ “ยึดพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์” ที่จะเป็นประโยชน์ทั้งทางทหารและการเมืองในอนาคตนั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น โครงการท่าเรือและเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จ้าวผลิ่ว (Kyaukphyu SEZ) ยังอาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีนในมหาสมุทรอินเดีย คล้ายกับท่าเรือHambantota ของศรีลังกา หรือ Gwadar ของปากีสถาน ซึ่งล้วนอยู่ในยุทธศาสตร์ “String of Pearls” ของจีนในกลุ่มประเทศกรอบความร่วมมือ BIMSTEC เครือข่ายท่าเรือรอบมหาสมุทรอินเดีย ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สามารถใช้ประโยชน์ทั้งทางการค้าและทางทหารได้ในอนาคตครับ

จะเห็นว่าสถานการณ์ของประเทศเมียนมาในยุคนี้ ไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะช่วงที่โครงการนี้ก่อเกิด อยู่ในยุคของรัฐบาลที่ปกครองโดยฯพณฯท่าน เต็ง เส่ง ต่อจากนั้นในช่วงปี 2020 ประเทศเมียนมาได้ถูกเจ้าโรคระบาด COVID-19 สร้างผลกระทบที่รุนแรงมากกว่าประเทศอื่นๆ ต่อมาในปี 2021ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้เกิดความไม่สงบเกิดขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำสุดๆ ดังนั้นการเลือกที่จะเป็นทางผ่านให้แก่ยักษ์ใหญ่จีน ซึ่งถึงแม้เมียนมาเจ้าของพื้นที่จะได้รับผลประโยชน์จากโครงการ CMEC น้อยกว่าเจ้าของโครงการ(จีน) อีกทั้งประเทศเมียนมาก็ยังมีความเสี่ยงมากกว่าอีกหลายด้าน เมียนมาก็ต้องเกาะไว้อย่างเหนียวแน่นครับ

สำหรับในด้านผลประโยชน์ที่เมียนมาได้รับจากโครงการนี้ คือโอกาสด้านการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและอธิปไตยทางการเมือง โดยรัฐบาลเมียนมาจะได้รับเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์จากจีน โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2021 ที่ประเทศถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ทำให้จีนแทบจะกลายเป็น “ผู้สนับสนุนหลัก” เพียงรายเดียว แต่การพึ่งพาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมากจนเกินไป จะทำให้เมียนมาต้องอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้เชิงยุทธศาสตร์” ที่ถูกจำกัดอำนาจต่อรอง

ยิ่งไปกว่านั้นโครงการหลายแห่งของ CMEC ดำเนินอยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง เช่น รัฐยะไข่ รัฐฉานและรัฐคะฉิ่น ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธจำนวนมาก ความไม่มั่นคงในพื้นที่เหล่านี้ ทำให้โครงการมีความเสี่ยงสูง และอาจจะสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนที่เป็นฝ่ายต่อต้าน ที่อาจจะมองว่ารัฐบาลเมียนมายอมให้รัฐบาลจีนเข้ามาครอบงำผลประโยชน์ของชาติได้

แม้ในทางตรงกันข้าม การแผ่อิทธิพลของประเทศจีน ที่แผ่ไกลกว่าชายแดนเมียนมาโครงการ CMEC ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อเมียนมาเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนความสมดุลอำนาจของภูมิภาคไปด้วย จะเห็นได้ว่า ประเทศอินเดียเองก็อาจจะรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามทางอิทธิพล จากการที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีฐานยุทธศาสตร์ในเมียนมา ซึ่งอยู่ใกล้อ่าวเบงกอลและชายฝั่งตะวันตกของอินเดียก็เป็นไปได้ยิ่งครับ

สำหรับประเทศไทยเราเอง ก็จะต้องสนใจความเชื่อมโยงของโครงการนี้ เข้ากับระบบคมนาคมของเรา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาค เพราะนี่คืออีกหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่จะเปลี่ยนไปอย่างไม่ต้องสงสัย การค้า-การลงทุนที่จะเข้ามาสู่ภูมิภาค CLMVT โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา ต้องปรับตัวรองรับผลที่จะตามมาในอนาคต เพราะหากสันติภาพเข้าสู่ประเทศเมียนมา ทุกอย่างสงบลง จะทำให้โฉมใหม่การการค้า-การลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ก็จะเปลี่ยนไปอย่างมากเลยละครับ ถ้าเราไม่ได้มีการเตรียมการที่ดี เราอาจจะพลาดรถไฟขบวนนี้ก็ได้ครับ

หากเรามองให้กว้างออกไปอีก เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาก็กำลังจับตามองโครงการ CMEC ด้วยเช่นกัน เพราะนี่จะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีน ในการขยายอิทธิพลทางภูมิ-รัฐศาสตร์เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย  นอกจากนี้ อาเซียนเองก็อยู่ในสถานะลำบาก เพราะแม้จะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นเวทีแข่งขันของมหาอำนาจ ที่จะตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง CMEC คือ “จิ๊กซอว์สำคัญ” ที่เชื่อมโครงข่ายอิทธิพลของประเทศจีนจากแผ่นดินใหญ่ไปสู่ทะเล ซึ่งจะทำให้ประเทศสาธารณประชาชนจีนมีบทบาทในภูมิภาคที่เคยเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกอย่างชัดเจนมากขึ้น

นี่คือเส้นทางเศรษฐกิจสู่เส้นเลือดภูมิ-รัฐศาสตร์ หากมองจากมุมผลประโยชน์รัฐบาลจีนคือฝ่ายที่ได้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จะได้ทั้งเส้นทางยุทธศาสตร์ใหม่ พลังงาน ทรัพยากร และอิทธิพลทางการเมืองในเมียนมา แต่ในส่วนของประเทศเมียนมา จะได้เพียงผลประโยชน์ระยะสั้น ในรูปแบบการลงทุนและการจ้างงาน แต่ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านหนี้สิน การพึ่งพาต่างชาติ และยังมีความขัดแย้งภายใน ที่อาจปะทุจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นภาพใหญ่ CMEC ในสายตาของผม จึงไม่ใช่เป็นเพียงโครงการทางด้านเศรษฐกิจหรือการค้า แบบที่เราเห็นบนแผนที่ทางการจีนวางไว้เท่านั้น  แต่มันคือ “ยุทธศาสตร์การขยายอิทธิพลแบบนุ่มนวล” ของประเทศสาธารณประชาชนจีน ที่ผสานกับแผนทางด้านเศรษฐกิจให้เข้ากับความมั่นคง และกำลังจะเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคไปอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลังอย่างยิ่งทีเดียวครับ