ทางรอดทางเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว : ความพยายามที่ถูกบีบด้วยบริบทของความปลอดภัย

05 ต.ค. 2568 | 22:30 น.

ทางรอดทางเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว: ความพยายามที่ถูกบีบด้วยบริบทของความปลอดภัย คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเมียนมาพยายามใช้นโยบายการท่องเที่ยวควบคู่กับการผ่อนปรนวีซ่า เพื่อเป็นทางรอดทางเศรษฐกิจในการดึงดูดเงินตราต่างประเทศเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤต
  • ความพยายามดังกล่าวเผชิญกับอุปสรรคสำคัญคือปัญหาด้านความปลอดภัยและความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่น
  • มีการเสนอให้ใช้กลยุทธ์ "เซฟโซน" (Safe Zone) โดยจำกัดและส่งเสริมการท่องเที่ยวเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมความปลอดภัยได้ เช่น ย่างกุ้ง พุกาม และมัณฑะเลย์
  • กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นเจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่อ่อนไหวต่อปัญหาความขัดแย้งน้อยกว่า เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงศรัทธาจากไทย และกลุ่มทัวร์จากจีนและอินเดีย

ทางรอดทางเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว: ความพยายามที่ถูกบีบด้วยบริบทของความปลอดภัย คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

 

ท่ามกลางสถานการณ์ที่รุมเร้า และการเลือกตั้งที่กำลังจะมาในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ รัฐบาลเมียนมาน่าจะมีความต้องการให้การเปลี่ยนถ่ายมือทางการบริหารประเทศ ไปยังรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารอย่างราบรื่น ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจนับเป็นหัวใจในการส่งไม้ต่อไปยังรัฐบาลใหม่ ถ้าหากรัฐบาลชุดนี้ ที่มีเวลาเหลือจากนี้ไปไม่มากนัก (ประมาณไม่เกิน 6-8 เดือน) รัฐบาลต้องใช้อาวุธสุดท้ายทางเศรษฐกิจอะไร? ที่ได้ผลมากที่สุด

นี่คือความท้าทายของรัฐบาลเมียนมาในวันนี้ครับ “การท่องเที่ยว” น่าจะเป็นคำตอบ แต่ต้องมีกระสุนมาช่วยด้วย กระสุนดังกล่าวคือ “ฟรี-วีซ่า” ที่ ฯพณฯท่านนายกรัฐมนตรีอู โญ ซอ (U Nyo Saw) ได้ประกาศจะผ่อนปรนการขอวีซ่า เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา จึงน่าจะเป็นกระสุน (ฟรี-วีซ่า) ที่นำไปใช้กับอาวุธ (การท่องเที่ยว) ที่เหมาะสมที่สุดครับ

เป็นที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในเมียนมานับตั้งแต่ปี 2020 ประเทศเมียนมาได้ประสบปัญหาโรคระบาด COVID-19 ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และความขัดแย้งภายในประเทศที่ขยายวงกว้างเป็นต้นมา ประเทศเมียนมาได้อยู่ในสภาวะวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจที่รุนแรงมาก

สมการรายได้ประชาชาติ (GDP) Y=C+G+I+(X−M) แทบจะหยุดนิ่งในทุกองค์ประกอบหลัก การบริโภค (C) ถูกบั่นทอนจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและการอ่อนค่าของเงินจ๊าต การใช้จ่ายภาครัฐ (G) ถูกจำกัดและมุ่งเน้นไปที่ความมั่นคง การลงทุน (I) ทั้งในและต่างประเทศหดตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยง การส่งออก (X) แม้ยังดำเนินการอยู่ แต่ก็เผชิญปัญหาการขนส่งและการขาดแคลนเงินดอลลาร์ในประเทศ

อีกทั้งมีการออกนโยบายควบคุมการนำเข้า(M) ในภาวะที่องค์ประกอบภายในประเทศแทบจะไร้พลังขับเคลื่อน การพึ่งพาการดึง “เงินตราต่างประเทศ” เข้าสู่ระบบผ่านการส่งออกบริการ (การท่องเที่ยว) จึงกลายเป็น “อาวุธและความหวัง”หรือ “อาวุธทางเศรษฐกิจสุดท้าย” ที่รัฐบาลทหารเมียนมาสามารถใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มากนัก

การประกาศผ่อนคลายมาตรการขอวีซ่า (เช่น E-Visa หรือ Free Visa) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงเป็นเสมือนการเปิดประตูฉุกเฉิน เพื่อดึงดูดกระแสเงินดอลลาร์ที่เป็นเงินด่วน (Quick Cash) เข้าสู่ธุรกิจบริการในพื้นที่ที่สามารถควบคุมได้ การดึงเงินด่วน (Quick Cash) ผ่านการท่องเที่ยวนี้ จึงเป็นความพยายามที่จะประคองเสถียรภาพด้านอัตราแลกเปลี่ยน และสภาพคล่องของเงินตราต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ในการส่งมอบภาระทางเศรษฐกิจที่ไม่หนักหน่วงเกินไปสู่รัฐบาลชุดใหม่  นี่จึงเป็นการเปลี่ยน “วิกฤตให้เป็นโอกาสเชิงกลยุทธ์” ที่เหมาะสมที่สุด

อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการความสำเร็จที่รวดเร็ว ผมคิดว่ารัฐบาลเมียนมาต้องมีการวางกลไกเซฟโซน (Safe Zone) ในการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมา การให้แค่ผ่อนปรนการขอวีซ่าอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะนักท่องเที่ยวจะเดินทางไปท่องเที่ยว ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ “ฟรี-วีซ่า” เหมือนดังประเทศเพื่อนบ้านทำ เพราะบริบทของเมียนมาวันนี้ ไม่ได้เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ยังมีข้อจำกัดอื่นๆ อีกมาก เช่น ความปลอดภัยที่เป็นข้อจำกัดสำคัญที่สุด ดังนั้นเมียนมาต้องมีกลยุทธ์การจำกัดพื้นที่ (Safe Zone Strategy) ที่ชัดเจน เนื่องจากประเด็นเรื่อง ความปลอดภัย ยังคงเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่ง นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากตะวันตก ยังคงมีความกังวลสูงและมีปัจจัยด้านจริยธรรมมาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นการตลาดของรัฐบาลเมียนมา จึงต้องปรับเป้าหมายและจำกัดขอบเขตการนำเสนอ ดังนี้

1. การกำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวที่เน้นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ทางการเมียนมาควรจำกัดการประชาสัมพันธ์ ไปที่พื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและมีเสถียรภาพสูง โดยให้การรับรองด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ซึ่งได้แก่

กรุงย่างกุ้ง (Yangon) ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ และที่ตั้งของมหาเจดีย์ ชเวดากอง และวัดสำคัญอื่นๆ เป็นจุดหมายปลายทางแรกที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมที่สุด เมืองพุกาม (Bagan) ที่มีมรดกโลกด้านอารยธรรมโบราณ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะสามารถจัดการพื้นที่ได้ง่าย เมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay) และทะเลสาบอินเล (Inle Lake) ซึ่งจุดหมายรองที่เน้นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและมีธรรมชาติที่งดงามเป็นเอกลักษณ์ การรับรองความปลอดภัยใน “สามเหลี่ยมทองคำ ทางท่องเที่ยว”นี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ประกอบการทัวร์ต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่อยากจะมาเที่ยว

2. การเลือกตลาดเป้าหมายที่ “เหมาะสมกับสถานการณ์” การพุ่งเป้าไปที่ตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อความขัดแย้งภายในประเทศน้อยกว่า และมีแรงจูงใจในการเดินทางที่เข้มแข็งกว่า เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด โดยมีการตั้งตลาดเป้าหมาย ที่มีจุดแข็งและแรงจูงใจในการเดินทางผลประโยชน์ต่อเมียนมา เช่น ตลาดไทย ด้วยการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา (Pilgrimage Tourism) และความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม เดินทางง่ายและระยะสั้น สามารถฟื้นฟูปริมาณนักท่องเที่ยวได้เร็ว ดึงดูดเงินบาทเข้าสู่พื้นที่ชายแดนและย่างกุ้ง

ต่อมาคือ ตลาดจีน (China) เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และปริมาณนักท่องเที่ยวมาก ซึ่งมักจะเดินทางเป็นกลุ่มทัวร์ ที่จัดการด้านความปลอดภัยได้ง่าย อีกทั้งดึงดูดเงินดอลลาร์ได้ในปริมาณที่มาก และช่วยฟื้นฟูธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีตลาดอินเดีย (India) ที่มีการเชื่อมโยงทางศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงการเดินทางเพื่อธุรกิจ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นการสร้างการเติบโตในตลาดใหม่ และดึงดูดกลุ่มนักธุรกิจที่มีการใช้จ่ายสูงด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเมียนมาก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ และข้อจำกัดของกลยุทธ์ แม้จะมีการผ่อนคลายวีซ่าและการจำกัดพื้นที่ท่องเที่ยวจะเป็นความพยายามที่ชาญฉลาด แต่ “อาวุธ” นี้ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญ คือความไม่แน่นอนของเงินจ๊าต แม้การท่องเที่ยวจะนำเงินดอลลาร์เข้าประเทศ แต่ความผันผวนของค่าเงินจ๊าต อาจทำให้นักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่าย และทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวท้องถิ่นต้องแบกรับความเสี่ยงทางการเงิน อีกทั้งภาพลักษณ์ประเทศ แม้ว่าการตลาดที่พยายามนำเสนอความสวยงามของวัฒนธรรม ก็อาจถูกบดบังด้วยรายงานข่าวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆของภายในประเทศ

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีข้อจำกัดเชิงปริมาณ การท่องเที่ยวที่จำกัดอยู่ในเพียง “เซฟโซน” จะไม่สามารถสร้างรายได้จำนวนมหาศาลพอที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ และไม่สามารถทดแทนการลงทุน (I) หรือการบริโภคภายในประเทศ (C) ที่หายไป ดังนั้นการใช้ “ผ่อนปรนการขอวีซ่า” และการเน้นการตลาดเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ควบคุม เป็นความพยายามที่สมเหตุสมผล และจำเป็นอย่างยิ่งของรัฐบาลเมียนมา เพื่อสร้างรายได้ต่างประเทศฉุกเฉิน (เงินด่วน) ในยามที่ช่องทางเศรษฐกิจอื่นๆที่ยังมีข้อจำกัดที่เข้มข้น จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ และมีการฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเมืองอย่างแท้จริง

การท่องเที่ยวจะยังคงเป็น มาตรการบรรเทาวิกฤต (Mitigation Measure) แต่ไม่ใช่ มาตรการฟื้นฟู (Recovery Measure) ที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศได้อย่างมั่นคง ภารกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนส่งมอบงานให้รัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง เพื่อเปิดทางให้ “มาตรการฟื้นฟู” ซึ่งต้องการการลงทุนและความเชื่อมั่นในระยะยาว จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหลังการเลือกตั้งเมียนมา ยังคงต้องพยายามกันต่อไป เราคนไทยทุกคนขอเป็นกำลังใจให้ครับ