ความร่วมมือพัฒนาประเทศกับเพื่อนบ้าน

21 ก.ย. 2568 | 22:30 น.

ความร่วมมือพัฒนาประเทศกับเพื่อนบ้าน

KEY

POINTS

  • การช่วยเหลือให้ประเทศเพื่อนบ้านเจริญรุ่งเรืองและมีเสถียรภาพถือเป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะปัญหาของเพื่อนบ้านสามารถส่งผลกระทบโดยตรงได้
  • เมียนมากำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งถูกมองว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการนำสันติภาพกลับคืนสู่ประเทศ โดยจะมีการใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อความโปร่งใส
  • ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุด ควรเตรียมวางยุทธศาสตร์ความร่วมมือระยะยาวกับรัฐบาลเมียนมาชุดใหม่ เพื่อร่วมกันพัฒนาและสร้างความมั่งคั่งให้ทั้งสองประเทศ

ความร่วมมือพัฒนาประเทศกับเพื่อนบ้าน คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

 

หลายวันก่อน ผมได้ร่วมสนทนากับผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง ท่านได้กล่าวถึงความร่วมมือให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ท่านกล่าวว่า ประเทศเพื่อนบ้านก็เปรียบเสมือนเพื่อนที่มีบ้านอยู่ติดกันกับบ้านเรา ถ้าหากประเทศเพื่อนบ้านเรามีความเจริญรุ่งเรือง หรือมีการพัฒนาที่ดีเราก็จะโชคดีไป แต่ถ้าหากเขาเป็นประเทศที่มีแต่ปัญหาเราก็จะตกที่นั่งลำบาก เพราะเราย้ายประเทศหนีเขาไปไหนไม่ได้

ปัญหาเหล่านั้น ก็จะนำพาเอาสิ่งที่จะสร้างความยุ่งยากให้แก่เรา ซึ่งผมเองก็มีแนวคิดที่คล้ายๆ กับท่าน อยากจะเล่าว่าในอดีตหน้าบ้านผม มีเพื่อนบ้านที่ภายในบ้านเขาทะเลาะกันทุกวัน ตื่นเช้าขึ้นมา ก็เห็นลูกตัวเล็กๆ ของเขาจะถูกอาโกว-อาม่าดุด่าทุกวัน เด็กตัวเล็กๆ พอโตมาหน่อย ก็มักจะมีความก้าวร้าว บางครั้งสร้างปัญหามาสู่เพื่อนบ้านอย่างเรา จนกระทั่งผมย้ายบ้านมาอยู่ที่ใหม่ แต่ถ้าเป็นประเทศ ที่ไม่สามารถโยกย้ายประเทศได้เหมือนบ้าน คงจะมีความยุ่งยากน่าดูเลยละครับ

เราต้องยอมรับว่า เพื่อนบ้านเราบางประเทศ ก็มีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ในอดีตเราจึงต้องมีศูนย์อพยพอยู่ตามชายขอบของประเทศหลายสิบแห่ง กว่าจะหมดปัญหาศูนย์อพยพได้ เราก็เหนื่อยยากมานานพอสมควรทีเดียว เช่นกันครับ อนาคตเราก็คงไม่อยากให้ปัญหาเหล่านั้นกลับมาอีกครั้งแน่นอนครับ ดังนั้นถ้าหากเราสามารถช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านได้บ้าง เราก็ควรจะต้องทำครับ

สำหรับประเทศเมียนมา วันนี้เขากำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 28 ธันวาคมที่จะถึงนี้ เราก็อยากจะเห็นสันติภาพในประเทศเขาเกิดขึ้นอีกครั้งเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามของรัฐบาลเขาที่จะต้องช่วยเหลือตนเอง ซึ่งก็จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายของประเทศเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือรัฐบาล รวมทั้งกองกำลังกลุ่มชนชาติพันธุ์ต่างๆ และฝ่ายต่อต้านจากทุกๆ กลุ่ม ต้องหันมาช่วยกันสนับสนุนให้เกิดการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำพาสันติภาพมาสู่ประเทศหรือแผ่นดินแม่ของเขา ดังนั้นไม่ควรจะต้องมีการขัดขวางหรือต่อต้าน รอให้ผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีครับ

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เท่าที่ผมได้รับฟังจากปากของท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเมียนมา ฯพณฯท่านมงคล วิศิษฎ์สตัมภ์ ท่านบอกว่าทางรัฐบาลเมียนมาได้มีการเตรียมเครื่องลงคะแนนแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยมาก โดยเครื่องดังกล่าวจะไปติดตั้งในเขตเลือกตั้ง ถึงแม้จะมีไม่มากพอที่จะไปทุกเขตเลือกตั้ง แต่เขาก็แก้ปัญหาด้วยการเวียนไป

วิธีการใช้เครื่องดังกล่าวมาเลือกตั้ง เขาจะให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเข้าไปในคูหา จากนั้นก็จะกดหมายเลขของผู้สมัคร จากนั้นเครื่องก็จะปริ้นท์กระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้ผู้ใช้สิทธิตรวจสอบดู เมื่อเห็นว่าถูกต้อง ก็ให้กด “OK” ผลการลงคะแนนก็จะส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ (Server) กลาง ของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งแห่งสหภาพเมียนมา (Myanmar’s Union Election Commission) ทันที ซึ่งถ้าไม่มีอคติส่วนตัว หรือไม่มีการทำการแก้ไขข้อมูล ซึ่งค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการโกงการเลือกตั้ง เพราะถ้ามีการเลือกตั้งจริง ต้องมีฝ่ายค้านและหน่วยงานระดับสากล เข้าไปสังเกตการณ์อยู่แล้ว การที่จะโกงการเลือกตั้ง ก็คงจะทำไม่ได้ง่ายๆอย่างแน่นอนครับ

เมื่อมีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิยุติธรรมเกิดขึ้น หลังจากนั้นก็จะมีการฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาไม่เกินสองเดือนก็น่าจะได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งถ้าผมมองจากการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจไปหลายท่าน รัฐมนตรีชุดที่กำลังเข้ามาไม่นานนี้ ก็น่าจะมีบางท่านที่เตรียมตัวเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ในคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาลใหม่ในปีหน้าด้วยเช่นกัน

ที่ผมคิดเช่นนั้น เพราะโปรไฟล์ของรัฐมนตรีที่ได้เข้ามารับตำแหน่งใหม่แต่ละท่าน ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาเลย ทุกท่านล้วนเป็นคนรุนใหม่ไฟแรงเกือบทั้งนั้น อีกทั้งหากการเลือกตั้งไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย พรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นพรรค USDP ที่สนับสนุนโดยทหารเมียนมา

อีกอย่างหนึ่งที่ผมมั่นใจเช่นนั้น เพราะการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ มีพรรคการเมืองที่เข้าลงสมัครครบทั้ง 4 สภามีเพียง 6 พรรคเท่านั้น จากเดิมเมื่อครั้งเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2020 มีพรรคการเมืองลงสมัครมากถึง 93 พรรค จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพรรค USDP ไม่น่าจะมีคู่แข่งที่น่าเกรงขามเหมือนเมื่อครั้งในอดีต ดังนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่า การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีครั้งนี้ น่าจะเป็นการวางตัวเพื่อรับไม้ต่อจากรัฐบาลชุดนี้ครับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ที่ใกล้ชิดกับเมียนมามากที่สุด เราควรต้องเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง ส่วนตัวผมคิดว่า การวางกลยุทธ์ในระยะกลางและระยะยาวน่าจะสำคัญกว่าระยะสั้น เพราะเราควรต้องมองไปยาวๆ น่าจะดีกว่าการแก้ไขระยะสั้น เพราะหากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงและมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ถ้าผมเป็นผู้มีอำนาจหรือสามารถให้คำปรึกษากับผู้มีอำนาจได้

ผมคิดว่าผู้มีอำนาจสูงสุด ควรจะต้องประกาศออกมาชัดๆไปเลยว่า “จะถอนตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” ส่วนเบื้องหลังอาจจะกำกับดูแลกันเองอย่างไรก็ได้ หรือเอาประเทศเพื่อนบ้านบ้างประเทศเป็นแบบอย่าง ทั้งๆ ที่ถูกคำสั่งให้ถอดถอนตัวทางการเมือง 10 ปีหรือตลอดชีวิต แต่ในความเป็นจริงก็ยังชักใยอยู่เบื้องหลังการเมืองตลอด ไม่เห็นประเทศตะวันตกที่ชอบอ้าง “ประชาธิปไตย” เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายอะไรด้วยเลย จากนั้นก็ร่วมมือกันสร้างสันติภาพภายในประเทศเมียนมาให้เกิด เชื่อว่าด้วยทรัพยากรทั้งบนดินใต้ดินและในทะเลทั้งหมดของเมียนมา มีมากเพียงพอที่จะทำให้ประเทศเมียนมาแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจได้อย่างดีแน่ๆ ครับ 

ส่วนการพัฒนาประเทศเมียนมา เนื่องจากหน้ากระดาษหมดเสียแล้ว อาทิตย์หน้าผมจะมาเสนอความคิดของผม ว่าเขาควรจะดำเนินการอย่างไร? โดยมีประเทศไทยเราเข้าไปมีบทบาทในการร่วมพัฒนาประเทศเมียนมา เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่เมียนมาและไทยเรา เพราะเราต้องรำลึกไว้เสมอว่า หากบ้านเราอาศัยอยู่ในสลัม เราคงไม่มีความสุขเท่ามีเพื่อนบ้านที่เป็นเศรษฐี อย่างน้อยที่สุด เรายังพอจะพึ่งพาอาศัยเขาได้ในยามลำบาก ถ้าเราจำกันได้ ในอดีตช่วงเกิดโรคระบาด Covid-19 ไม่กี่ปีที่ผ่านมา การค้าต่างประเทศทั้งโลก มีปัญหาสะดุดหยุดลง ไทยเราก็อาศัยการค้าชายแดนนี่แหละ มาช่วยพยุงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศครับ