อนาคตของเมืองระนอง

15 ก.ย. 2568 | 02:00 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2568 | 11:34 น.

อนาคตของเมืองระนอง คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • การปิดด่านชายแดนแม่สอดทำให้ท่าเรือระนองกลายเป็นทางเลือกสำคัญในการขนส่งสินค้าทางทะเลไปเมียนมา เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ใกล้และมีค่าใช้จ่ายต่ำ
  • ท่าเรือระนองมีศักยภาพสูงในการเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงไทยสู่กลุ่มประเทศ BIMSTEC (อินเดีย, บังกลาเทศ) และเป็นทางออกสู่ทะเลสำหรับสินค้าจากจีนตอนใต้
  • จำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบของท่าเรือให้ทันสมัย เพื่อยกระดับจากเมืองการค้าชายแดนสู่ศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ

อนาคตของเมืองระนอง คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปบรรยายให้ผู้ประกอบการที่จังหวัดระนองฟัง เรื่อง “ระนอง:การค้าทางทะเล ทางเลือกการค้าไทย-เมียนมา” ซึ่งผมเองก็ได้รับความรู้จากผู้ร่วมเสวนาหลายๆท่าน อีกทั้งได้มองเห็นศักยภาพของเมืองระนอง ที่เป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา ที่อยู่ด้านใต้สุดของประเทศเมียนมา ที่พิเศษกว่าจังหวัดชายแดนอื่นๆ อีก 9 จังหวัด ที่มีแต่ชายแดนที่มีเพียงแต่ที่ดินติดต่อกันกับเมียนมา จะมีเพียงแต่จังหวัดระนองเท่านั้น ที่มีทั้งทะเลและดินแดนที่อยู่ติดกับประเทศเมียนมา

หลังจากวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาได้ประกาศปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ที่ใช้ในการติดต่อกันระหว่างเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมากับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก วัตถุประสงค์หลักของการปิดสะพานดังกล่าว ทางการเมียนมากล่าวอ้างว่า เพื่อปราบปรามการค้าผิดกฎหมาย ซึ่งในความเป็นจริงตามความคิดเห็นของผม ผมเชื่อว่า น่าจะมีวัตถุประสงค์อื่นอีกหลายปัจจัย แต่เราคงไม่ต้องไปขุดคุ้ยหรือกล่าวถึง เพราะนั่นเป็นเรื่องภายในประเทศของเขา

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้รถบรรทุกสินค้า ต้องตกค้างอยู่ที่ด่านชายแดนอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก และที่เมืองเมียวดีรัฐกระเหรี่ยง ที่อยู่ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด และที่เมืองพะอาน เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ที่รับจ้างขนส่งสินค้าเข้าไปที่กรุงย่างกุ้ง สินค้าที่ตกค้าอยู่ที่เมืองพะอาน คงเนื่องมาจากเขาคงเกรงว่าสินค้าที่อยู่บนรถบรรทุก ได้มีการขออนุญาตนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือปล่าว?

เรื่องนี้คงต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า การขออนุญาตนำเข้าสินค้าที่ประเทศเมียนมา จะต้องมีเงิน Earning Money หรือเงินที่ได้จากการส่งออกก่อน ต่อจากนั้นต้องใช้ใบ Earning Money ดังกล่าว มาแสดงเพื่อประกอบการขอใช้สิทธิ์ในการนำเข้าสินค้าหรือใบ Import License ต่อไป ดังนั้นการรับขนส่งสินค้าที่นำเข้ามาทางบก ผู้ประกอบการโลจิสติกส์  อาจจะไม่สามารถทราบได้ว่า สินค้าดังกล่าวได้นำเข้าถูกต้องหรือไม่นั่นเอง 

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีผู้ประกอบการค้าชายแดนและผู้ประกอบการสินค้าผ่านแดน ที่เคยชินกับการทำการค้าผ่านด่านแม่สอด จึงเดือดร้อนในการหาช่องทางบกอื่นๆ มาทดแทนการนำเข้าทางด่านแม่สอด แต่ก็ทำได้ช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น เราจึงเห็นผู้ประกอบการหันมาเลือกใช้การขนส่งทางเรือ ซึ่งก็สามารถทำได้ทั้งฝั่งท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือกรุงเทพมหานครและท่าเรือระนอง(ท่าเรือน้องใหม่) มาทดแทนการส่งสินค้าเข้าไปยังประเทศเมียนมา จึงทำให้ท่าเรือระนองที่มีค่าขนส่งถูกที่สุดและใกล้ที่สุด เป็นท่าเรือทดแทนในระยะสั้นนี้

สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นในการไปจังหวัดระนองในทุกๆครั้ง คือศักยภาพของด่านระนอง ที่มีทั้งความท้าทายและโอกาสทางการค้า ผมอยากจะให้เรามามองทางด้านความท้าทายก่อน ต้องยอมรับว่า วันนี้ด่านชายแดนจังหวัดระนองที่มีท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้บริการในการส่งออกสินค้าอยู่ เป็น “ท่าเรือขนาดเล็ก” ที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำกระบุรี น้ำในแม่น้ำที่มีความลึกแค่ 8-10 เมตร ความกว้างของร่องน้ำ 120 เมตร

ท่าเรือดังกล่าวจึงรองรับเรือสินค้ามีขนาดใหญ่สุดได้ไม่เกิน 12,000 เดนเวทตัน (DWT) เท่านั้น ในขณะที่เรือที่จะใช้เดินทะเลหรือแม้จะเป็นเรือชายทะเลก็ตาม ตามที่ผมเข้าใจ ถ้าจะให้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ (Economic of Scale) เรือเดินสมุทรที่ใช้ในการขนส่งสินค้า ควรจะสามารถบรรทุกขนส่งสินค้าได้สัก 20,000-40,000 เดนเวทตัน น่าจะเหมาะที่สุด 

ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่ท่าเรือระนองยังมีความท้าทายอยู่ คือ ภายใต้แม่น้ำกระบุรี ในช่วงของปากน้ำจะมีภูเขาใต้น้ำอยู่ ซึ่งเราไม่สามารถขุดลอกได้ ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบของทางฝั่งประเทศเมียนมา ที่มีชายแดนต่อเนื่องกับเราครับ อีกเหตุผลหนึ่งคือลานวางตู้คอนเทนเนอร์ ที่มีพื้นที่แค่เพียง 11,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้ประมาณ 800 TEUs (Twenty-foot Equivalent Unit) ซึ่งมีขนาดเล็กมาก อีกทั้งท่าเรือดังกล่าวยังอยู่ในหุบเขา ที่ไม่สามารถขยายท่าเรือให้ใหญ่ขึ้นอีก เพราะยังติดพรบ.อีกหลายฉบับ

นอกจากนี้ ท่าเรือระนองยังมีปัญหาของเครนยกตู้คอนเทนเนอร์ ที่ปัจจุบันนี้ เครนที่ใช้อยู่เป็นเครนขนาด 65.3 ตัน ซึ่งเป็นเครนที่ใช้กับเรือขนาดเล็กถึงขนาดกลางเท่านั้น อีกทั้งยังมีปัญหาติดๆขัดๆอยู่ เพราะเป็นเครนที่เก่าเก็บ เพิ่งจะนำมารีโนเวทใหม่อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้เองครับ

สิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่ง คือระบบของท่าเรือ ยังไม่ได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัย เพราะในช่วงที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเข้ามาบริหารงานทั้งหมด ท่าเรือระนองดังกล่าว อยู่ภายใต้การดูแลของกรมเจ้าท่า ซึ่งไม่ได้มีการตระเตรียมระบบมาก่อนจะเข้ามารับช่วงครับ

แต่หากจะมองทางด้านบวกของท่าเรือระนอง ผมคิดว่าเป็นท่าเรือมีมีอนาคตที่ไกลมาก เพราะท่าเรือนี้สามารถเชื่อมประเทศไทยสู่ประเทศ BIMSTEC (ความร่วมมือแห่งอ่าวเบ็งกอล สำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ) อันประกอบด้วย ประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ เมียนมา เนปาล ภูฐาน และไทย

ในขณะที่การเดินเรือชายฝั่ง ตามนิยามของอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ต้องเป็นการเดินเรือผ่านโดยสุจริต โดยผ่านพื้นที่ทางทะเลที่มีอาณาเขตประเทศที่ติดต่อกัน ซึ่งหากเราใช้ท่าเรือระนอง ส่งสินค้าไปยังเมียนมาแล้วจึงผ่านไปยังเมืองจิตตะกอง บังกลาเทศ จากนั้นก็ใช้ท่าเรือจิตตะกองส่งผ่านสินค้าไปยังเมืองโกลกาตา  (Kolkata) ประเทศอินเดีย เราก็จะสามารถขยายตลาดเข้าสู่ประเทศอินเดียตะวันออกและประเทศบังกลาเทศ ที่มีตลาด(ประชากร) รองรับได้มากกว่า 400 ล้านคนครับ

นอกจากนี้ มณฑลยูนนาน กุ้ยโจว และเสฉวน 3 มณฑลตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาได้เตรียมการเข้ามาลงทุนในประเทศเมียนมาอยู่ก่อนหน้านี้ เพื่อใช้ท่าเรือน้ำลึกจ้าวผลิ่วเป็นประตูหลังบ้าน ให้เป็นทางออกทางทะเล แต่มาวันนี้ทางด่านชายแดนจีน-เมียนมา ได้มีปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้น ทำให้ “จีนสามมณฑล” ยังมีปัญหาการเปิดประตูหลังบ้านบานนั้นได้ จะมีเพียงแต่การขนส่งทางท่อ ที่มีเพียงแก๊สธรรมชาติและน้ำมันเท่านั้นที่ยังไม่มีปัญหา

ส่วนสินค้าที่เป็นการขนส่งทางบกเกือบทั้งหมด จำเป็นต้องหาทางออกใหม่ๆ ดังนั้นด่านระนองจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับทดแทนด่านท่าเรือน้ำลึกจ้าวผลิ่ว ประเทศเมียนมา ที่ยังมีปัญหาความไม่สงบที่กล่าวมาครับ เราจึงเห็นมีสินค้าผ่านแดนที่เข้ามาใช้บริการของท่าเรือระนองในระยะนี้เยอะมาก จนทำให้การจราจรของท่าเรือระนองติดขัดมากครับ

สรุปทั้งหมดทั้งมวล ถ้าหากประเทศไทยเราหรือชาวระนอง ต้องการจะปรับเปลี่ยนเป้าหมาย(GOAL) ของเมืองระนอง จากเมืองที่ทำการค้าชายแดนให้เป็นเมืองแห่งการค้าสากล หรือจากเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมืองแห่งน้ำแร่ ให้เป็นเมืองแห่งการค้าผ่านแดน เราต้องอาศัยการมาของรัฐบาลใหม่เขยระนอง ต้องเร่งรีบปรับตัว เพื่อสร้างความคุ้นชินให้แก่ผู้มาใช้บริการ โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการส่งสินค้าไปต่างประเทศผ่านท่าเรือระนอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการจากชาติใดก็ได้ ขอให้เขามาใช้บริการท่าเรือแล้ว ติดใจกลับมาใช้ใหม่อีกในอนาคตครับ