ความร่วมมืออย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย-เมียนมา

24 ส.ค. 2568 | 22:30 น.

ความร่วมมืออย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย-เมียนมา คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • วิกฤติปิดด่านแม่สอด-เมียวดี กระทบการค้าชายแดนไทย-เมียนมาหนัก ผู้ประกอบการเร่งหาทางปรับตัว สภาธุรกิจไทย-เมียนมาเร่งประชุมหาทางออกเพื่อรักษาความยั่งยืน
  • รัฐบาลเมียนมาเข้มปราบสินค้าหนีภาษี สะท้อนปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งเงินเฟ้อ ค่าเงิน และการจ้างงาน ภาคเอกชนไทยต้องเดินเกมตามกฎหมายการค้านำเข้า-ส่งออกอย่างรัดกุม
  • เลือกตั้งเมียนมา 28 ธ.ค.2568 อาจเป็นจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ เปิดโอกาสนักลงทุนใหม่ ไทยต้องเร่งเตรียมพร้อมล่วงหน้า จับจังหวะก่อนประเทศอาเซียนอื่นแห่เข้าไปโกยตลาด

ความร่วมมืออย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย-เมียนมา คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


สองอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นความยากลำบากของการทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทย-เมียนมา ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการค้าชายแดน ที่หลังจากการปิดด่านสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ของแม่สอด-เมียวดี ทำให้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งเข้าสู่ประเทศเมียนมาโดยสิ้นเชิง มีผู้ประกอบการหลายราย ได้ส่งข้อกังวลใจมาที่สภาธุรกิจไทย-เมียนมา

แน่นอนว่าคำถามและข้อกังวลใจส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องการปิดด่านที่แม่สอดนี่แหละครับ ผมเองแม้จะรู้ว่าสาเหตุลึกๆ ของการปิดด่านคืออะไร แต่ก็ไม่ทราบว่าด่านจะเปิดได้วันไหน เพราะเราเองไม่ใช่เป็นผู้ร้องขอให้ปิด คำสั่งให้ปิดมาจากส่วนกลางของรัฐบาลเมียนมา ดังนั้นเราคงต้องหาหนทางในการทำการค้าชายแดน ก็คือทำการค้าอย่างไรให้ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องหาวิธีดำเนินการค้าอย่างไรให้มีความมั่นคงและยั่งยืน น่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่ทางสภาธุรกิจไทย-เมียนมา จะต้องรีบเร่งหาช่องทางเพื่อการนี้อย่างเร่งด่วนครับ

เมื่อวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางสภาธุรกิจไทย-เมียนมาก็ได้จัดการประชุม เพื่อรีบเร่งหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในการนี้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมก็มีทางภาคเอกชนที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศเมียนมา และกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดน อีกทั้งยังได้เรียนเชิญหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เข้ามาร่วมกันระดมความคิดเห็นเพื่อหาวิถีทางที่จะดำเนินการต่อไป

เป็นที่ทราบกันดีว่า เหตุผลหลักๆ ของนโยบายปราบปรามสินค้าหนีภาษีอย่างเข้มข้นที่ชายแดนของประเทศเมียนมา คือ การขาดดุลการค้าและเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดน้อยถอยลง อันเป็นสารตั้งต้นของตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายๆ ตัว ที่ได้รับผลกระทบอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ปัญหาการจ้างงานของแรงงาน และปัญหาของอาชญากรรม ที่ประดังประเดถาโถมเข้ามาสู่สังคมของประเทศเมียนมา ดังนั้นการที่รัฐบาลเมียนมาได้เร่งกำหนดนโยบายดังกล่าวออกมาดำเนินการ ก็เป็นที่พอจะเข้าใจได้ 

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นที่เราควรจะต้องเร่งรีบให้ความร่วมมือและดำเนินการ คือ ต้องทำตามกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ที่ทางรัฐบาลเมียนมากำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าการจะต้องขออนุญาตในการนำเข้าสินค้า ที่มีข้อกำหนดให้บริษัทที่ขออนุญาต จะต้องแสดงความสามารถในการทำรายได้จากต่างประเทศ (Earning Money) ที่มีการส่งออกสินค้าก่อนนำเข้าสินค้า และต้องใช้ใบ Earning Money มาแสดงเพื่อขอใช้สิทธิ์ในการนำเข้าสินค้า หรือใบ Import License

ซึ่งแม้ว่าเราจะอยู่ในฐานะบริษัทผู้ขาย อาจจะไม่มีพันธะในการเสาะหา แต่บริษัทคู่ค้าที่ซื้อสินค้าจากเราไป เพื่อนำเข้าสินค้าไปยังประเทศเมียนมา เขาจะต้องมีภาระในการเสาะหามาสำแดงให้เพื่อขอใบอนุญาต จึงจะสามารถค้าขายได้ ดังนั้นในบางครั้งเราก็ต้องช่วยเหลือเขา ในการเสาะหาให้แก่เขา เพื่อให้เขาดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในการเสาะหานี้ หากบริษัทใดมีความประสงค์จะดำเนินการ แต่ไม่สามารถเสาะหาได้ ทางสำนักการค้าของกระทรวงพาณิชย์ไทย(สคต.) ในประเทศเมียนมา โดยท่านผู้อำนวยการสคต. ท่านก็จะช่วยเหลือดำเนินการเสาะหาให้ครับ

ในความคิดของผม ผมคิดว่านั่นเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเราต้องคิดต่อว่าเราควรจะทำอย่างไร? จึงจะให้การค้าระหว่างไทยกับเมียนมามีความยั่งยืน ประกอบกับการที่ทางรัฐบาลเมียนมา ได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคม 2568 นี้ เป็น “วันเลือกตั้งครั้งใหม่” หากจะมองถึงเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา ในปี 2010 พอประเทศเมียนมามีการเลือกตั้งครั้งแรก หลังจากมีการปล่อยตัวท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี ซึ่งผลของการเลือกตั้งครั้งนั้น ประเทศเมียนมาก็ได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ โดยการนำของท่านประธานาธิบดี เต่ง เส่ง ซึ่งก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง และพอเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งต่อมา

ในปี 2015 พรรค NLD ชนะการเลือกตั้ง ท่านประธานาธิบดี อู ถิ่น จ่อ ก็ได้เข้ามาปกครองประเทศ แน่นอนว่าใครๆ ก็ทราบว่ารัฐบาลในยุคนั้น อยู่ภายใต้การดูแลของท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี แต่เราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศเมียนมาอย่างมโหฬาร นักลงทุนจากทุกสารทิศ ได้พากันเข้าสู่ประเทศเมียนมา เศรษฐกิจในยุคนั้นได้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว 

ผมเชื่อว่า ในต้นปีหน้าหลังจากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่เกิดขึ้น ในเดือนมกราคม 2026 ก็จะมีการฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เข้ามาบริหารประเทศเมียนมา ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง แม้ว่ารัฐบาลชุดดังกล่าวใครจะอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังก็ตาม ก็จะต้องทำให้ประเทศเมียนมามีความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนครับ

เหตุผลที่ผมมีมุมมองเช่นนั้น เพราะต้องยอมรับว่า เหตุผลของชาติตะวันตกแทรกแซงประเทศเมียนมา เพราะเขาใช้ Keywords ในการแทรกแซงว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ของเมียนมา เป็น “รัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร” ดังนั้นการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็น “ประชาธิปไตย”แบบเต็มใบหรือเสี้ยวใบก็ตาม เขาก็ต้องยอมรับว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย การแทรกแซงก็จำต้องมีการปรับลดสถานะหรือความเข้มข้นลดลง ให้แก่รัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมา เมื่อไม่มีการแซงชั่น ประเทศเมียนมาก็จะกลับมาสงบลงไม่มากก็น้อย เมื่อประเทศเมียนมาสามารถกลับเข้าสู่โหมดของการพัฒนาประเทศใหม่อีกครั้ง ความเจริญที่รออยู่ ประชาชนเองหลังจาก 8 ปีแห่งการถดถอย(สามปีแห่งการระบาดโควิดบวกห้าปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ประชาชนที่กระหายรสชาติของประชาธิปไตย ทุกภาคส่วนก็จะกระตื้อรือร้นในการรวมมือกันพัฒนาประเทศใหม่อีกครั้งครับ

ในส่วนของภาคผู้ประกอบการไทย เราคงต้องคิดใหม่ว่า เราจะฉกฉวยโอกาสนี้ได้อย่างไร? ในฐานะที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวที่ประเทศเมียนมา มานานสามสิบกว่าปี ผมคิดว่าเราคงต้องหันมามองตัวเราเองว่า วันนี้ทางด้านทิศตะวันออก เราก็ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะจบลงอย่างไร เมื่อไหร่ เราเคยมีตัวเลขการค้าชายแดนมาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่เลวร้ายจาก COVID-19 มา ปัจจุบันนี้เราจะหวังพึ่งพาชาติตะวันตกมาดึงเศรษฐกิจของประเทศก็คงลำบาก เพราะนโยบายโดนัล ทรัมป์ยังคงไม่มีความแน่นอน เราไม่รู้ว่าจะโดนอะไรมาซ้ำเติม 

แต่ในทางกลับกัน การค้าชายแดน ที่เราเคยเป็นพระเอกในช่วงของ COVID-19 น่าจะพอทำให้มีความหวังได้ เพียงแต่วันนี้ประเทศที่เคยเป็นตัวชูโรงของการค้าชายแดน อันดับ 2 (ชายแดนไทย-เมียนมา) กับอันดับ 3 (ชายแดนไทย-กัมพูชา) ยังมีปัญหาที่ต้องรอการสะสางอยู่ ที่พอจะเห็นภาพว่าปัญหาเหล่านั้นน่าจะคลี่คลายได้ จากการที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 28 ธันวาคมที่จะถึงนี้ของประเทศเมียนมา ทำให้พอจะมองเห็นแสงสว่างริบๆ อยู่ที่ปลายอุโมงค์ เราคงต้องเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้ากันได้แล้วละครับ เพราะถ้ารอให้ทุกอย่างสว่างไสวแล้วค่อยมาเตรียมการ ผมเชื่อว่าคู่แข่งที่เป็นชาติในอาเซียน เขาก็จะขยับตัวเหมือนกับเราครับ

พอถึงเวลานั้นก็จะเหมือนยุคของพรรค NLD ที่เข้ามาบริหารประเทศ ประเทศเมียนมาจะมีชาติต่างๆเข้าไปมะรุมมะตุ้มกันเข้าไปกอบโกยกัน บทบาทของเราในตอนนั้น รัฐบาลใหม่ของเมียนมาก็ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเราแล้ว ดังนั้นถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อม ด้วยการ “ซื้อตั๋วรถไฟขบวนต้นๆ ดีกว่ารอให้รถไฟกำลังออกจากสถานี” แล้วค่อยวิ่งตามไปกระโดดขึ้นรถไฟ ที่เนื่องแน่นไปด้วยผู้โดยสาร ซึ่งก็จะยากลำบากกว่ากันเยอะเลยละครับ!!!