KEY
POINTS
เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ที่ผ่านมา ผมได้ร่วมเดินทางไปกับคณะสภาอุตสาหกรรม ซึ่งนำโดยท่านรองประธานสภาอุตสาหกรรม ท่านชาติชาย พานิชย์ชีวะ ไปดูงานด้านโอกาสการค้าและการลงทุนในประเทศมาเลเซีย การเดินทางครั้งนี้ คณะของเราต้องตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด ตีสามเพิ่มไปรวมตัวกันที่สนามบินให้ทันตีสี่ ของเช้าวันที่ 21 เพื่อให้ขึ้นเครื่องของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ที่ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 6:00 น. จุดแรกที่เราไปเยี่ยมคารวะฯพณฯท่านเอกอัครราชทูต ท่านลดา ภู่มาศ ณ.จวนของฯพณฯท่าน ท่านได้เลี้ยงรับรองอาหารกลางวันอันโอชะให้แก่คณะของเรา หลังจากได้รับฟังคำบรรยายเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า-การลงทุน และสถานการณ์ต่างๆในประเทศมาเลเซีย
ในโอกาสนี้ฯพณฯท่านเอกอัครราชทูต ได้ฝากให้กลุ่มคณะเราช่วยดูแลในสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือเรื่องช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเกี่ยวกับฮาลาล ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SME ที่อยู่ทางภาคใต้ของไทยเรา และเรื่องผู้ประกอบการสวนผลไม้ไทย ที่เป็นที่ต้องการของประชาชนชาวมาเลเซียเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงกราบเรียนท่านไปว่า ผมคิดว่าทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และเป็นสิ่งที่ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยโดยสายงานการพัฒนาและส่งเสริมการค้า-การลงทุนที่ผมเป็นประธานอยู่ ก็ได้เริ่มมีการดำเนินการอยู่ โดยประธานอนุกรรมการสายใต้ของสายงานการพัฒนาและส่งเสริมการค้า-การลงทุน โดยคุณกฤษฎา ได้เป็นผู้ดำเนินการอย่างขะมักเขม้นอยู่ในขณะนี้ครับ
อีกหนึ่งของข้อได้เปรียบ คือโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เส้นทางคมนาคมระหว่างสองประเทศ ได้รับการพัฒนาอย่างดี ทั้งทางบกและทางทะเล ช่วยให้การกระจายสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการส่งเข้าสู่ตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ หรือกระจายไปยังร้านค้าปลีกย่อยในเมืองต่างๆ แต่จะมีเพียงมาเลเซียตะวันออกเท่านั้น ที่ยังเป็นอุปสรรคในการขนส่ง และอีกหนึ่งของข้อได้เปรียบ คือรสนิยมในการบริโภคที่ใกล้เคียงกัน และความต้องการที่หลากหลาย ผลไม้ไทยเป็นที่รู้จักดี ซึ่งผลไม้ไทยหลายชนิดเป็นที่รู้จัก อีกทั้งยังได้รับความนิยมในมาเลเซียมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นมังคุด ลองกอง เงาะ หรือมะม่วง รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และคุณภาพที่สม่ำเสมอ เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ผู้บริโภคมาเลเซียชื่นชอบและกลับมาซื้อซ้ำ จะมีเพียงทุเรียนเท่านั้น ที่ชาวมาเลเซียมีความนิยมรับประทานทุเรียนที่สุกมากๆ และทุเรียนที่เป็นคู่แข่งกับทุเรียนไทย เช่นทุเรียนพันธุ์มูซันคิงส์ แต่ราคาของมูซันคิงส์ในวันนี้ ก็แพงกว่าทุเรียนหมอนทองของไทยเราเกือบ 7-8 เท่า ดังนั้นถ้าเราจับตลาดที่แตกต่างออกไป ก็ยังพอจะมีโอกาสอีกเช่นกันครับ
นอกจากนี้ ความหลากหลายของผลผลิต ประเทศไทยมีความหลากหลายของผลไม้เมืองร้อนสูง และมีผลผลิตหมุนเวียนตลอดทั้งปี ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภคได้ การมีผลไม้ตามฤดูกาลที่น่าสนใจอยู่เสมอ ก็อาจจะช่วยกระตุ้นความต้องการและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ได้เช่นกันครับ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเพื่อสุขภาพผู้บริโภคมาเลเซียยุคใหม่ ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ความต้องการผลไม้สดคุณภาพดีเพิ่มสูงขึ้น ผลไม้ไทยซึ่งเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุชั้นดีจึงตอบโจทย์เทรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี
ในช่วงที่ผมได้มีโอกาสสนทนากับฯพณฯท่านเอกอัครราชทูต ลดา ภู่มาส ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันนี้ ชาวมาเลเซียโดยเฉลี่ยบริโภคพืชผัก-ผลไม้น้อยมาก เพียงวันละ 30-63 กรัม ต่อคนต่อวัน ในขณะที่คนไทยเราบริโภค 200-250 กรัมต่อคนต่อวัน ในขณะที่ประกาศของ WHO ร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO) ที่แนะนำให้ประชาชนควรจะบริโภค 400 กรัมต่อคนต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด ดังนั้นโอกาสหรือปัจจัยในการส่งเสริมและช่องทางการเข้าถึงตลาดผลไม้ไทยในประเทศมาเลเซีย ยังมีอีกมากทีเดียวครับ
นอกจากนี้ความนิยมใน การท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการส่งเสริมผลไม้ไทย นักท่องเที่ยวมาเลเซียจำนวนมากที่นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวทางภาคใต้ของไทยเรา ส่วนใหญ่จะได้ลิ้มลองผลไม้สดใหม่ และเกิดความประทับใจ เมื่อกลับไปประเทศตัวเองแล้ว จึงมีความต้องการบริโภคผลไม้เหล่านั้นต่ออีกแน่นอน และการบอกต่อชนิดปากต่อปาก ก็ยังคงสร้างความต้องการอย่างต่อเนื่องได้อีกครับ หากเรามีการจัดเทศกาลและโปรโมชั่น เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเกษตร หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายในมาเลเซียก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่สามารถช่วยเพิ่มการรับรู้และกระตุ้นยอดขายได้ ซึ่งเท่าที่ได้พูดคุยกับที่ทูตสินค้าพานิชย์ไทยประจำประเทศมาเลเซีย คือท่านวรวรรณ วรรณวิล ก็ทราบว่า ท่านได้มีการจัดโปรโมชั่นในช่วงฤดูผลไม้ไทยเป็นประจำ นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพทีเดียวครับ
แม้จะมีโอกาสมากมาย แต่ผู้ประกอบการไทยก็ควรตระหนักถึงความท้าทายบางประการ เช่น มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย การรักษามาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) ซึ่งทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรชาวไทยเรา รวมถึงตัวกลางในการรวบรวมผลไม้ หรือที่เราเรียกว่า “ล้งผลไม้” ถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัย และยาฆ่าแมลงหรือสารตกค้าง สิ่งเหล่านี้ จะต้องตระหนักกันอย่างระมัดระวังกันอย่างเข้มงวดครับ
ตลาดมาเลเซียยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามองและมีโอกาสสูง สำหรับผู้ส่งออกผลไม้ไทย ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ รสนิยมที่ใกล้เคียง หรือช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หากผู้ประกอบการไทยสามารถรักษาคุณภาพ มาตรฐาน และพัฒนาการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ผลไม้ไทยก็จะยังคงเป็นที่ต้องการและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการเกษตรของไทยในตลาดมาเลเซียได้อย่างยั่งยืนต่อไปครับ