เรื่องราวดราม่าในแผ่นดินไหวของมัณฑะเลย์

18 พ.ค. 2568 | 22:00 น.

เรื่องราวดราม่าในแผ่นดินไหวของมัณฑะเลย์ คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


การได้เดินทางไปเยือนเมียนมา โดยเฉพาะเมืองมัณฑะเลย์ในครั้งที่ผ่านมาของผม ทำให้เกิดแรงบันดาลใจจากภาพความสูญเสีย ทั้งสภาพบ้านเรือนที่ถูกธรณีพิโรธจนจมหายไปกับตา และภาพคนที่ได้รับบาดเจ็บต่างๆ ทำให้เรานึกถึงคำกล่าวขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “อนิจาวะตะสังขารา” สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจา ไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมลงไปเป็นธรรมดาจริงๆครับ

เราเห็นภาพวัดที่ในขณะที่เกิดแผ่นดินไหว ได้มีพระสงฆ์สองร้อยกว่ารูปมารวมตัวกัน เพื่อกำลังทำการศึกษาวิชากรรมฐานอยู่นั้น แต่บัดดลนั้นเองแผ่นดินก็เกิดไหวขึ้น ทำให้อาคารถูกถล่มทับลงมา พระสงฆ์ไม่ทันได้หวั่นไหวกับการเกิดอะไรขึ้น คาดว่ากำลังอยู่ในภวังค์ของการอบรมจิตอย่างมีสมาธิ จึงไม่ได้ลุกขึ้นหนีภัย จึงทำให้พระสงฆ์เหล่านั้นเสียชีวิตไปในพริบตาครับ

ยังมีโรงแรมหลังหนึ่งซึ่งเป็นของเพื่อนรักผม เขาได้เล่าให้ผมฟังว่า ในวันเกิดเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่รีเซฟชั่นกำลังต้อนรับแขกผู้ที่จะเข้ามาพัก ซึ่งแขกคู่สามี-ภรรยาและเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนนั้น กำลังสาระวนกับการเช็คอินอยู่ แต่ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาทันที ทำให้อาคารด้านหน้าทรุดลงมาในลักษณะ 45 องศา ทับเอาร่างของพนักงานไปหนึ่งคน ส่วนแขกอีกสองคนพร้อมพนักงานหนึ่งคน ได้หลบเข้าไปในเคาน์เตอร์เช็คอินของโรงแรมทัน ไม่ได้ถูกทับในทันทีนั้น แต่ก็ติดอยู่ในตัวอาคารทั้งๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่

ต่อมาเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้มาถึงที่เกิดเหตุ จึงได้ช่วยกันหาทางช่วยเหลือ ด้วยการเจาะผนังทางด้านหลังของอาคาร เพื่อเข้าไปดึงเอาผู้ประสบภัยออกมา แต่ต้องใช้เวลานานมากถึงสามวัน จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถช่วยออกมาได้ ในขณะที่ลูกของผู้ประสบภัยที่เป็นแขกของโรงแรม ได้มาถึงต่างก็ร้องขอให้รีบช่วยพ่อ-แม่ของตนเอง นั่นเป็นภาพที่ดราม่าสุดๆ ที่เมื่อภาพได้ออกมาสู่สายตาของผู้คนด้วยสื่อออนไลน์ แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือใดๆ ได้

เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเจาะจากทางด้านหน้าของอาคารได้ เพราะจะทำให้อาคารถล่มทับลงมาทางถนนใหญ่ ซึ่งก็จะทำให้เกิดความสูญเสียตามมามากขึ้น ด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อนี้ ทำให้เวลาในการช่วยเหลือผ่านไปไม่หยุด จนกระทั่งสัญญาณชีพจรที่ส่งออกมาสู่มือเจ้าหน้าที่ได้หายไป เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ญาติทราบว่า ผู้ประสบภัยทั้งหมดได้เสียชีวิตแล้ว นี่คืออีกหนึ่งเสมือนดราม่าของความสูญเสียที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไหวมัณฑะเลย์ครับ

นอกจากนี้ ยังมีตลาดสดที่ด้านหลังเป็นสลัมใหญ่ ในใจกลางเมืองมัณฑะเลย์ ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในครั้งด้วยเช่นกัน ซึ่งคณะทีมงานของเราได้เดินทางเข้าไปสำรวจหลังจากเกิดเหตุผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน แต่สภาพปรักหักพังยังคงปรากฎให้เห็นอยู่ โดยสภาพของสลัมและตลาดสดแห่งนั้นเหลือแต่เพียงซาก เพราะในช่วงเกิดแผ่นดินไหวทำให้เกิดไฟไหม้ตามมา แน่นอนว่าต้องมีการสูญเสียชีวิตอย่างมาก เหตุเพราะสลัมแห่งนั้น ภายในสลัมเป็นถนนที่เล็กๆแคบๆ รถยนต์ไม่สามารถแล่นผ่านเข้าไปได้ จึงทำให้รถดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปดับไฟที่กำลังโหมใหม้อยู่ได้ บ้านเรือนจึงราบพนาสูญในทันที สิ่งที่ตามมาคือทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสลัมแห่งนั้น ต้องออกมาสร้างที่พักชั่วคราวบนถนน ได้แต่รอรับสิ่งของที่เข้ามาบริจาคให้จากผู้ใจบุญเท่านั้นครับ

อีกหนึ่งดราม่าที่เกิดคือที่อมรปุระ ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่เมืองมัณฑะเลย์ ผมเชื่อว่าเกือบร้อยละเก้าสิบต้องเคยไปเที่ยวที่ “สะพานอูเป่ง” สะพานรักอันเลื่องชื่อ วันที่คณะของเราไปสำรวจนั้น แม้ว่าสะพานอูเป่งจะไม่ได้พังพินาศลงมา แต่อาคารบ้านเรือนในแถบนั้น ก็ได้มีจำนวนไม่น้อยที่พังลงมาครับ ตอนที่พวกเราเข้าไปถึง ปรากฎว่าได้มีการนำเอารถแม็คโครเข้าไปดำเนินการรื้อซากหักพังนั้นอยู่ ทราบต่อมาว่าอาคารดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งของวัดแห่งหนึ่ง ที่ในอดีตผมก็เคยไปทำบุญที่นั่นมาก่อนครับ

นอกจากนี้เท่าที่ผมสอบถามดูด้วยความห่วงใยว่า เจดีย์ของพระเจ้าอุทุมพร ที่เชื่อว่าเคยเป็นมีคนสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ให้แก่พระองค์เจ้าอุทุมพรของไทยเรา และได้มีการปล่อยให้รกร้างมานาน จนกระทั่งมีเพื่อนที่เป็นคนไทยท่านหนึ่ง ได้ออกทุนส่วนตัวจ้างคนดูแลที่เป็นคนเมียนมาคอยถางหญ้า และได้สร้างหลังคามาคุมเจดีย์ไว้ เพื่อไม่ให้ทรุดโทรมมากจนเกินไป ทราบมาว่าเจดีย์ดังกล่าว ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ในวันนั้นเนื่องจากคณะของเราได้มีนัดกับกลุ่มแพทย์ไว้ก่อนล่วงหน้า เลยไม่สามารถเข้าไปสำรวจดูได้ ผมตั้งใจไว้ว่า ถ้าครั้งหน้ามีเวลาพอ ผมจะเข้าไปสำรวจดูด้วยตาผมเองครับ

ความสูญเสียในครั้งนี้ เราจะเห็นว่าคนเราทุกคน ล้วนต้องอย่าได้ประมาท เพราะว่าอุบัติภัยย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเสมอ บางคนร่ำรวยเงินทองมากมาย วันดีคืนร้ายเกิดแผ่นดินพิโรธขึ้นมา ภายในพริบตาทรัพย์สินก็หายวับไปทันที หรือบางคนเห็นหน้ากันดูหลัดๆ เกิดแผ่นดินไหวหนีเอาตัวรอดไม่ทัน ก็ต้องเสียชีวิตจากไปโดยไม่มีวันกลับก็มี  หรือบางคนมีครอบครัวอันแสนอบอุ่น พอเกิดมีภัยธรรมชาติเข้ามาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เหลือเพียงสภาพตัวคนเดียว สมาชิกในครอบครัวต้องจากไปโดยไม่ทันได้บอกลาก็มี นั่นคือสัจจธรรมของชีวิตจริงๆ ครับ ดังนั้นในวันที่เรายังคงมีลมหายใจอยู่ จงขอให้มีแต่ความสุข คิดอยากจะทำสิ่งใดก็จงรีบๆ ทำ อีกทั้งการที่จะคิดร้ายคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมีเป็นอย่างยิ่งครับ