เมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้นำทีมคณะกรรมการสภาฯพร้อมด้วยเพื่อนอีก 6 ท่าน เดินทางไปยังเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะเข้ามาสำรวจความต้องการ ของประชาชนผู้ประสบภัยที่นั่น พร้อมทั้งหาวิธีการที่จะนำเอายารักษาโรคที่ได้รับบริจาคมา พร้อมกับบรรดาอุปกรณ์ทางการแพทย์ และวัคซีนที่ผมคิดว่าจำเป็นสำหรับประชาชน ผู้ประสบภัยหลังเกิดปัญหาแผ่นดินไหว ที่ได้รับฟังจากข่าวมาว่า มีอาคารบ้านเรือนของผู้ประสบภัยถล่มลงมามากมาย เพื่อจะได้ดำเนินการด้วยแนวทางที่ถูกต้องต่อไปครับ
เมื่อเดินทางมาถึงในวันแรก เราได้ไปพบกับแพทย์ที่โรงพยาบาล พร้อมทั้งแพทย์อาสาสมัครคือทีมของคุณหมอ Su Mon ที่เข้ามาร่วมงานกับผมในครั้งนี้ ต้องบอกว่าคุณหมอท่านนี้เป็นลูกของเจ้าของร้านอาหาร Super 81 ที่ขึ้นชื่อของเมืองมัณฑะเลย์ ตัวของคุณหมอเอง หลังจากเรียนจบแพทย์มาแล้ว ก็ไม่ได้ประกอบวิชาชีพแพทย์เลย ท่านได้เข้ามาช่วยกิจการของคุณพ่อ-คุณแม่ ด้วยการเปิดร้านอาหารไทยโดยใช้ชื่อ Super 81 ของร้านเดิมที่คุณพ่อสร้างไว้ แต่พอเกิดวิกฤตการณ์แผ่นดินไหว คุณหมอ Su Mon ก็เริ่มรวบรวมเพื่อนๆ และน้องๆนักศึกษาแพทย์มาร่วมกันทำโมบายคลีนิค ออกตะเวนไปตามแหล่งประสบภัยต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกวัน โดยคุณหมอ Su Mon จะมอบหมายให้พนักงานร้านอาหารของท่าน ทำอาหารกล่องร่วม 500 กล่อง ออกบริจาคให้แก่ผู้ประสบภัยไปด้วย ตอนที่พวกเราไปนั้น ท่านยังคงทำมาอย่างต่อเนื่องมาร่วมเดือนกว่าทุกวันไม่ได้หยุดเลยครับ
ในบ่ายวันที่พวกเราเดินทางไปถึง ก็ได้ไปรอพบกลุ่มแพทย์ที่โรงพยาบาลรอเยลโรส ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนของเพื่อนรักผม ท่านเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนระดับใหญ่ถึง 3 แห่งในเมืองมัณฑะเลย์ แต่มีอยู่โรงพยาบาลหนึ่งแห่งของท่าน ที่ถล่มลงมาโดยไม่เหลือซาก และอีกแห่งหนึ่งก็ได้รับผลกระทบอาคารแตกร้าว จนทางการเมียนมาสั่งให้โยกย้ายผู้ป่วยออกไป
ปัจจุบันยังคงเหลือเพียงโรงพยาบาลเดียว คือโรงพยาบาลที่เราใช้เป็นจุดนัดพบกันนั่นแหละครับ ปรากฎว่าในวันที่คณะของเราไปถึง ก็เป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว แต่ผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการยังคงหนาแน่นมาก บริเวณห้องโถงของโรงพยาบาล มีผู้ป่วยมารอพบแพทย์อีกเยอะ มีทั้งกลุ่มผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยอาการบาดเจ็บจากผลของแผ่นดินไหวอยู่ไม่น้อย
ในการไปครั้งนี้ ทีมเราต้องรอท่านอดีตนายแพทย์ทหารใหญ่ ที่ปลดเกษียณไปร่วมสิบปีแล้ว (อายุท่านเท่ากับผมที่มีอายุ 70 ปีแล้ว) ผมเรียกท่านว่า “สะญ่า” หมายถึงอาจารย์หรือบุคคลที่น่าเคารพนับถือ ซึ่งคนเมียนมามักจะเรียกว่า “สะญ่า” ทุกท่าน ซึ่งท่านต้องเดินทางมาจากกรุงย่างกุ้ง เพื่อมาสมทบกับทีมงานของคณะเรา ในการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้แก่ทีมเรา หลังจากที่ได้พูดคุยกับทีมแพทย์และท่านสะญ่าแล้ว เราก็พอจะทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้ประสบภัยคืออะไรครับ
ในวันนั้นเรามีเวลาอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ได้ไม่นาน แค่สามชั่วโมง เพราะเราต้องเดินทางไปนอนพักแรมกันที่เมืองปิ่นอู่ลิน (เดิมเรียกว่า เมืองเมย์เมียว) ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองมัณฑะเลย์ 42 ไมล์หรือร่วม 70 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางชั่วโมงครึ่ง-สองชั่วโมง เพราะในเมืองมัณฑะเลย์ยังคงมีอาฟเตอร์ช็อคอยู่เกือบทุกวัน ดังนั้นเจ้าของโรงพยาบาลที่เป็นเพื่อนผม เขาเลยจัดให้เราไปนอนที่บ้านพักตากอากาศของท่าน ที่เมืองปิ่นอู่ลิน และให้รถตู้หนึ่งคันมาคอยบริการคณะของเราตลอดเวลาทำงานทุกวัน ผมต้องกราบขอบพระคุณท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
คณะของเราที่ไปกัน 6 คน เพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ เราจึงต้องเร่งแบ่งทีมออกเป็นสองทีม โดยคุณมงคลและคุณอิมแยกออกไปอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อสำรวจสถานที่ในการใช้ประชุมร่วมกับทีมแพทย์ในวันรุ่งขึ้น ดูว่าเหมาะสมหรือไม่? และไปดูสภาพความเสียหายของบ้านเมือง ส่วนผมกับทีมงานของสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ก็ใช้เวลาในการประชุมร่วมกับทีมแพทย์พื้นที่ หลังจากเสร็จงานในคืนนั้น คณะของเราจึงกลับมารวมตัวกัน หลังจากที่ทานอาหารค่ำที่ร้าน Super 81 ของคุณหมอ Su Mon ที่ท่านกรุณาเลี้ยงอาหารค่ำต้อนรับทีมงานคณะของเรา เพื่อเดินทางกลับเมืองปิ่นอู่ลิน
วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่สองของการสำรวจ ตอนเช้าทีมเรายังคงแยกกันเป็นสองกลุ่มเหมือนเดิม ทีมของผมได้ร่วมประชุมกับทีมแพทย์ที่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นก็ไปพบกับหน่วยกู้ภัยของเมืองมัณฑะเลย์ เพื่อขอทราบถึงวิธีการนำเข้ายารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์รวมถึงวัคซีน ทำให้เรารู้ว่าการนำเข้ายาและวัคซีน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะต้องใช้เวลามาก เพราะทางการเมียนมาเอง เขาก็มีความระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ช่วงสายๆของวันนั้น ผมก็ได้ไปพบกับสมาคมแห่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะมีสายสัมพันธ์ที่ดีมากๆ จึงได้พบกับแสงสว่างพอที่จะช่วยเราได้
อีกทั้งเท่าที่เราได้เข้าไปสำรวจความต้องการของผู้ประสบภัยในพื้นที่แล้ว เราก็ทราบว่าอะไรที่เราควรทำ และอะไรที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะทำ เราจึงต้องกลับมาลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดี เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ยังมีปัญหาที่จะต้องลำดับความสำคัญก่อนหลังอย่างละเอียดก่อนที่จะทำ เพื่อไม่ทำให้การทำงานสะดุดหยุดลงนั่นเองครับ
ในวันอังคารที่ 6 พฤษภาคม คุณมงคลกับคุณอิม ได้ขอนอนในเมืองมัณฑะเลย์ เพื่อตื่นเช้ามาจะได้ทำงานมากขึ้น ส่วนทีมที่เหลือเรายังคงกลับมานอนที่เมืองปิ่นอู่ลินเหมือนเดิม ในคืนนั้นเวลาประมาณตีสี่ ก็มีแผ่นดินไหวอาฟเตอร์ช็อค ขนาด 4.4 ริกเตอร์ ผมก็อดเป็นห่วงทั้งสองคนไม่ได้ แต่ที่เมืองปิ่นอู่ลินอินเตอร์เน็ตล่มทั้งคืน จึงทำให้ติดต่อกันไม่ได้ แต่พอตอนเช้าพวกเราเข้ามาในเมืองมัณฑะเลย์เพื่อพบกัน คุณมงคลก็โทรศัพท์เข้ามาบอกว่า วันนี้จะขอติดตามทีมงานของคุณหมอ Su Mon ออกไปแจกจ่ายอาหารกล่อง ให้กับผู้ประสบภัยตามค่าย ผมจึงถามว่าเมื่อเช้าตรู่รู้มั้ยว่ามีอาฟเตอร์ช็อค คุณมงคลตอบว่า นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไรเลย และก็ไม่เห็นมีประชาชนวิ่งออกมาจากอาคารเลย แสดงว่าชาวบ้านในเมืองมัณฑะเลย์ คงจะเคยชินกับการเกิดอาฟเตอร์ช็อคไปแล้วก็ได้ครับ
ผมต้องเรียนให้ท่านที่มีจิตเมตตาบริจาคเงินและเวชภัณฑ์ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเมืองมัณฑะเลย์ทุกท่านทราบว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านได้ร่วมบริจาคมา ผมต้องทำให้ถึงมือผู้ประสบภัยอย่างมีคุณค่ามากที่สุด แม้เราจะไม่สามารถทำให้ได้ทุกคนที่ประสบภัยได้ แต่ทีมงานของเราและสภาธุรกิจไทย-เมียนมา จะทำให้กระจายออกไปให้มากที่สุด เพื่อเงินของท่านไม่สูญเปล่าอย่างไม่มีความหมายอย่างแน่นอนครับ และต้องขอกราบอนุโมทนาบุญมายังทุกท่าน ขอบุญกุศลของการร่วมกันสร้างบุญบารมีในครั้งนี้ จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพ พลานามัยแข็งแรง ตลอดกาลนานเทอญ