ก่อนที่จะเข้าเรื่องของบทความวันนี้ ผมขออนุญาตแจ้งให้เพื่อนๆ ทราบว่า ในวันนี้ (5 พฤษภาคม) ผมจะนำคณะเพื่อนๆ และกรรมการสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เดินทางไปเมืองมัณฑะเลย์ เพื่อนำยารักษาโรคและวัคซีน เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ที่กำลังรอการช่วยเหลืออยู่ แม้จะช้าไปนิด แต่ก็ยังมีคนที่ยากลำบากที่ยังเผชิญชะตากรรมอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ เหลืออีกเยอะมาก
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์และเงินพร้อม ผมจึงดำเนินการต่อด้วยการเดินทางไปด้วยตนเองครับ ขออนุญาตใช้บทความนี้ กราบขอบพระคุณบริษัทและทุกท่าน ที่ร่วมบริจาคเงินและเวชภัณฑ์มาร่วมบุญทุกท่าน ขอผลบุญที่ทุกท่านส่งมาให้ จงดลบันดาลให้ท่านประสบแต่ความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง อย่าเจ็บ อย่าไข้ ตลอดกาลนานเทอญ
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ครั้งแรกได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2018 ภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคที่ 2 ของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้มีการประกาศมาตรการ “America First” ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ยกระดับมาตรการภาษีต่อสินค้าจีนหลายรายการ จีนเองก็พยายามสร้างแนวร่วมและกระจายความเสี่ยง โดยหนึ่งใน “เบี้ยล้ำค่า” ที่จีนให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษก็คือ ประเทศเมียนมา นั่นเอง ซึ่งหมากตัวนี้มีความสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าประเทศเมียนมาจะเผชิญปัญหาภายใน ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง แต่จีนยังคงมีบทบาทแฝงที่สำคัญ ในฐานะผู้ลงทุนรายใหญ่ และเป็นผู้ที่เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเมียนมามากที่สุด อีกทั้งยังเป็นผู้กำหนดเส้นทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค บทบาทของเมียนมาในสายตาของจีน และแนวทางที่จีนใช้เพื่อจัดการกับข้อจำกัดต่างๆ โดยเน้นเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการทูตเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในบริบทของสงครามการค้า ประเทศไทยเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจับตามองและให้ความสำคัญ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบทางด้านลบ และต้องเข้าใจ เข้าถึงในผลทางด้านบวก เพื่อสามารถเข้าไปมีผลประโยชน์ร่วมกับสิ่งที่จะตามมาด้วยเช่นกัน
เราต้องเข้าใจว่าประเทศเมียนมา เป็นประตูหลังบ้านทางฝั่งตะวันตกของจีน เพื่อเข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย เพราะจีนเป็นประเทศที่มีข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ทางทะเล โดยเส้นทางการค้าสำคัญกว่า 80% ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งถือเป็นจุดเสี่ยงในภาวะความขัดแย้งหรือคว่ำบาตร
ด้วยเหตุนี้ประเทศเมียนมาจึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญของจีน ในการกระจายเส้นทางโลจิสติกส์และพลังงานไปสู่มหาสมุทรอินเดีย จะเห็นได้จากโครงการ “China-Myanmar Economic Corridor (CMEC)” ที่ประเทศจีนได้ใช้เส้นทางจากมณฑลยูนนานเข้าสู่เมืองมณฑะเลย์ ผ่านไปยังกรุงย่างกุ้ง และทะลุสู่ท่าเรือจ้าวเพี่ยว (Kyaukphyu) ซึ่งโครงการที่สำคัญที่ได้ทำสำเร็จแล้วก็มีโครงการท่อส่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากอ่าวเบงกอลเข้าสู่มณฑลยูนนาน ซึ่งลดเวลาขนส่งและเลี่ยงเส้นทางทะเลจีนใต้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
นอกจากนี้ยังได้สร้างท่าเรือน้ำลึกจ้าวเพี่ยว หรือ Kyaukphyu Deep Sea Port ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “Belt and Road Initiative (BRI)” โดยจีนถือหุ้นในโครงการมากถึง 70 - 85% อีกทั้งยังวางโครงการรากฐานของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน - เมียนมา ในระยะยาวอีกด้วย
(แหล่งอ้างอิง:The Diplomat (2023). Why the China-Myanmar Economic Corridor Matters Nikkei Asia (2020). China clinches Myanmar port deal in region vital to Belt and Road)
นอกจากนี้ ในช่วงที่ประนาธิบดีโดนัลทรัมป์ประกาศสงครามทางการค้าโดยการยกระดับการจัดเก็บภาษีไปทั่วโลก ในต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในวันรุ่งขึ้นรัฐบาลจีนก็ได้ออกมาประกาศ 4 นโยบายตอบโต้ทันทีทันควัน ซึ่งนโยบายที่ 4 ก็คือ ทรัพยากรหายาก : อาวุธลับของเมียนมา
หนึ่งในสินทรัพย์สำคัญที่ทำให้เมียนมากลายเป็นเบี้ยล้ำค่า คือ การควบคุมการส่งออกทรัพยากรและเทคโนโลยีสำคัญ นั่นก็หมายถึงทรัพยากรแร่หายาก โดยเฉพาะ Rare Earth Elements (REEs) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีอาวุธ เป็นต้น
ซึ่งข้อมูลจาก Global Witness ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก นั่นก็คือการระบุว่า “มากกว่า 50% ของแร่หายากที่จีนสกัดในปี 2021 มีต้นทางจากเหมืองในเมียนมา” ต้องเข้าใจว่าประเทศจีน ได้อาศัยการลงทุนโดยบริษัทที่อยู่ภายใต้ความร่วมมือกับทหาร หรือกองกำลังชาติพันธุ์ เช่น กลุ่มของกำลังว้า กลุ่มกองกำลังกะฉิ่นอิสระ และกองกำลังบางกลุ่มในรัฐฉาน การควบคุมห่วงโซ่เหล่านี้ แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็เป็นช่องทางสำคัญในการหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรจากตะวันตกของประเทศเมียนมาครับ
(แหล่งอ้างอิง:Global Witness (2022). Myanmar’s Rare Earth Mines: Environmental Devastation Behind Green Technologies)
อาจจะมีคำถามว่า แล้วประเทศจีนจัดการกับความท้าทายข้อจำกัดภายในเมียนมาอย่างไร? เพราะในประเทศเมียนมามีความไม่มั่นคงทางการเมือง หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ทำให้เกิดการประท้วงของฝ่ายต่อต้าน และมีความไม่สงบเกิดขึ้นในภูมิภาคที่อยู่นอกเมือง ทำให้มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ทั้งในส่วนของด้านการเงิน ที่ขาดกระแสเงินสดในท้องตลาด และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงไปอย่างมาก รัฐบาลเมียนมาจึงมีมาตรการควบคุมเงินทุนและเงินตราต่างประเทศอย่างเข้มงวด นอกจากนี้เมียนมาเองก็มีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ที่ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ที่สำคัญมากๆ อีกปัญหาหนึ่ง ก็คือความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อโครงการจีน ทำให้เกิดความไม่สบายใจของรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนก็ใช้แนวทางการใช้เงินหยวนในเขตเศรษฐกิจเฉพาะ เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ เช่น ใน Kyaukphyu และบางพื้นที่ในมัณฑะเลย์ นอกจากนี้ยังเข้าไปเจรจาโดยตรงกับกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ควบคุมพื้นที่ทรัพยากร เช่น กลุ่มว้า หรือ UWSA (United Wa State Army) เพื่อลดแรงกดดันลงไปได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ยังได้ตั้งโครงสร้างโลจิสติกส์ครบวงจร โดยบริษัทจีนลงทุนท่าเรือ ถนน ไฟฟ้า และเหมืองอย่างครบวงจรในตัวของโครงการ ในส่วนของปัญหาความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อโครงการของชาวจีน รัฐบาลจีนได้ใช้การทูตแบบ Soft Power เช่นมีการสร้างโครงการด้านการศึกษา สร้างโรงเรียน สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล ซึ่งก็แตกต่างจาก Soft Power ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิ้นเชิงครับ
เรามาดูอีกบทบาทหนึ่งของเมียนมาในสงครามการค้า ที่กำลังร้อนแรงระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศต่างๆ ที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีอย่างไม่มองหน้าอินทร์หน้าพรหม ประเทศเมียนมาในฐานะของ “เบี้ยล้ำค่า” ตัวหนึ่งของจีน ได้กลายเป็นทางเลือกสำรองที่สำคัญขึ้นมาทันที เมื่อรัฐบาลจีนได้ประกาศ 4 มาตรการตอบโต้ ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ดังนั้นแม้ประเทศเมียนมาจะถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีในบางหมวดถึง 44% (ข้อมูลจาก USTR) แต่ประเทศจีนยังสามารถอาศัยโครงสร้างซับซ้อนของบริษัทในเครือและการผลิตข้ามแดนเพื่อ ลดผลกระทบจากภาษีศุลกากรได้ระดับหนึ่ง ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ประเทศเมียนมา ไม่ได้มีความกังวลใจต่อมาตรการดังกล่าวนั่นเองครับ