ศึก 3 ด้านกดดัน ศก.ปลายปี “น้ำท่วมใต้-ดีลสหรัฐ-ยุบสภา”

26 พ.ย. 2568 | 06:50 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ย. 2568 | 06:58 น.

ศึก 3 ด้านกดดันเศรษฐกิจปลายปี “น้ำท่วมใต้-ดีลสหรัฐ-ยุบสภา” : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,152

KEY

POINTS

  • สถานการณ์อุทกภัยรุนแรงในภาคใต้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว การค้า และบริการ ซึ่งประเมินว่า อาจมีมูลค่าความสูญเสียสูงถึง 1-1.5 หมื่นล้านบาท
  • การเจรจาการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่หยุดชะงักลง กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อภาคการส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ หากไม่สามารถรื้อฟื้นการเจรจาได้ทันเวลา
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากกระแสข่าวการยุบสภา ทำให้ภาคธุรกิจ และนักลงทุนชะลอการตัดสินใจลงทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนในช่วงปลายปี

ปลายปี 2568 เศรษฐกิจไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จุดชี้วัดสำคัญท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัว ที่ยังผสมผสานกับความไม่แน่นอนอย่างเข้มข้น มาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออย่าง “คนละครึ่งพลัส” ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการประคองบรรยากาศเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังรายงานล่าสุด (ณ 25 พ.ย. 2568) มียอดใช้จ่ายสะสมแล้วกว่า 50,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินหมุนเวียนเข้าสู่ร้านค้ารายย่อยและผู้ประกอบการท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง 

ขณะเดียวกัน ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเจ้าในปีผลิต 2568/69 ปรับตัวสูงขึ้น โดยข้อมูลจากสมาคมโรงสีข้าวไทยระบุว่า ราคาหอมมะลิแตะระดับกว่า 15,000 บาทต่อตัน ประกอบกับมาตรการชะลอขายข้าวเปลือกของรัฐบาล ที่เปิดทางให้เกษตรกรเก็บสต๊อกเพื่อรอจำหน่ายในช่วงราคาดี ช่วยเพิ่มรายได้ให้เศรษฐกิจชุมชนและหนุนการใช้จ่ายปลายปีได้เป็นอย่างดี 

อย่างไรก็ตาม แรงหนุนดังกล่าวกำลังถูกท้าทายด้วยปัจจัยลบ ที่เริ่มส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอุทกภัยรุนแรงในภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายในหลายจังหวัด รวมถึงอำเภอหาดใหญ่ซึ่งมีปริมาณฝนสะสมสูงที่สุดในรอบหลายร้อยปี 

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจมีมูลค่า 1,000-1,500 ล้านบาทต่อวัน และหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ความสูญเสียรวมอาจพุ่งสู่ระดับ 1-1.5 หมื่นล้านบาท กระทบต่อภาคท่องเที่ยว การค้า และ ธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักทางเศรษฐกิจของภูมิภาค นอกจากนี้ความหยุดชะงักของระบบโลจิสติกส์ยังอาจทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้นในหลายอุตสาหกรรม

อีกด้านหนึ่ง การชะงักของการเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐฯ กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อภาคส่งออกของไทยไปสหรัฐ หากไทยไม่สามารถรื้อฟื้นการเจรจาได้ทันเวลา  

ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศทวีความตึงเครียดมากขึ้น เมื่อมีกระแสข่าวว่า นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล อาจตัดสินใจยุบสภา หากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงเปิดประชุมสภา วันที่ 12 ธันวาคม การเคลื่อนไหวทางการเมืองเช่นนี้อาจทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน และรอดูท่าทีของรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนในช่วงปลายปี 

ภายใต้สภาวะที่แรงหนุนและแรงต้านขับเคลื่อนไปพร้อมกัน เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องพึ่งพานโยบายที่มีความต่อเนื่อง และการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลควรเร่งเดินหน้ามาตรการฟื้นฟูภาคใต้ ควบคู่กับการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้ความไม่แน่นอนฉุดโมเมนตัมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว 

ขณะเดียวกัน ควรใช้จังหวะที่ราคาพืชผลและกำลังซื้อกำลังดีดตัวเป็นโอกาสในการวางรากฐานการเติบโตระยะยาว ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าระหว่างประเทศ และการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อย 

ปลายปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงช่วงประเมินผลของมาตรการที่ผ่านมา แต่ยังเป็นบททดสอบว่า รัฐบาลและภาคธุรกิจจะสามารถพลิกความเสี่ยงให้เป็นโอกาส และประคับประคองความเชื่อมั่นเพื่อก้าวเข้าสู่ปี 2569 ด้วยพลังที่มากกว่าความกังวลได้หรือไม่

บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,152 วันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568