KEY
POINTS
เศรษฐกิจไทยกำลังเดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ด้วยความหวังและความท้าทาย ที่รอการแก้ไขภายใต้การบริหารรัฐบาลของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนได้กลับมาอ้าปากมีกินมีใช้อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.8-2.3% ที่มีแรงกดดันจากการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง การส่งออกที่อ่อนแอลง และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการบริโภคภาคเอกชน และ การท่องเที่ยวชะลอตัวลงล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่รัฐบาลนายอนุทิน ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เครื่องยนต์แรงที่ทุกฝ่ายตั้งความหวังไว้คือ การเร่งผลักดันให้ “โครงการคนละครึ่ง” เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะเป็นยาแรงที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ หรือ การบริโภคภายในประเทศให้กลับมาได้
ส่วนเงื่อนไขจะเป็นเช่นไรนั้น ทั้งการให้ผู้เสียภาษีเงินได้ 11 ล้านคนจ่าย 40 % และภาครัฐสมทบ 60 % หรือ ประชาชนทั่วไปจะจ่าย 50 % และ ภาครัฐสมทบ 50 % คงไม่ใช่ปัญหา เพราะล้วนแต่จูงใจให้มีการควักเงินออกจากกระเป๋ามาจับจ่ายมากขึ้น
ความสำเร็จของ “โครงการคนละครึ่ง” ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์โควิด-19 รัฐบาลสมัยนั้นมีเม็ดเงินที่ใช้ทั้ง 5 เฟสราว 192,208 ล้านบาท มีประชาชนเข้าร่วมสะสมกว่า 26.3 ล้านคน และมีร้านค้าเข้าร่วมมากกว่า 1.5 ล้านร้านค้า กระจายอยู่ทั่วประเทศ
ส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เกิดยอดการใช้จ่ายสะสมราว 283,576 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้จ่ายจากภาครัฐ 147,772 ล้านบาท และการใช้จ่ายของประชาชนที่ร่วมจ่ายสมทบ 135,804 ล้านบาท สามารถสร้างกำลังซื้อและกระตุ้นให้ประชาชนนำเงินออกมาใช้จ่ายได้อย่างมาก
สศช. ระบุว่า “โครงการคนละครึ่ง” มีส่วนช่วยเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศถึง 0.3 - 0.5% ที่มาจากแรงส่งของการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของธุรกิจรายย่อย และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่กลับคืนมา
นอกจากนี้ รัฐบาลของนายอนุทิน ควรให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการสานต่อ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงไฮซีชั่น ซึ่งอาจต้องมีการปรับเงื่อนไข หรือกติกาใหม่ เพื่อจูงใจให้ประชาชนเที่ยวในประเทศเดินทางมากขึ้น จากปัจจุบันโครงการดังกล่าว เที่ยวเมืองรอง ยังเหลือสิทธิ์อีกว่า 2.7 หมื่นสิทธิ์ ใน 55 เมือง เนื่องจากมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการน้อย
รวมไปถึงการเร่งสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาอีกครั้ง และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ด้วยการอำนวยความสะดวกในการขอวีซ่า และ ขยายระยะเวลาการพำนักสำหรับนักท่องเที่ยว ไปจนถึงการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง
ตลอดจนการเร่งเจรจาแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ได้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อให้เศรษฐกิจชายแดนจากการค้าและการท่องเที่ยวกลับมา
อีกทั้ง การออกมาตรการลดค่าครองชีพ ให้กับประชาชน ที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน ให้เห็นเป็นรูปธรรมในช่วง 3-4 เดือนนี้ โดยเฉพาะการปรับลดราคานํ้ามัน ที่สามารถดำเนินการได้ทันที จากการลดภาษีสรรพสามิต 1-2 บาทต่อลิตร หรือ การลดการเก็บเงินเข้ากองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง ในขณะที่การลดค่าไฟฟ้า สามารถที่จะเจรจากับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ชะลอ หรือ แบกรับการเรียกเก็บค่าเอฟทีออกไปก่อน เพื่อลดภาระผู้บริโค
รวมไปถึงการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และหามาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องและการเข้าถึงสินเชื่อ ให้กับกลุ่มเอสเอ็มอี ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา
ดังนัน ในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการจุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้กลับคืนมา ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาล แต่อาจจะส่งผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้อีกด้วย
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,131 วันที่ 14-17 กันยายน พ.ศ. 2568