KEY
POINTS
มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตเลือก "นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย" ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ด้วยคะแนนเสียง 311 คะแนน เอาชนะนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยที่ได้ 152 คะแนน โดยมีผู้งดออกเสียง 27 เสียง จากสส.ที่ลงคะแนนทั้งหมด 490 เสียง
การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เส้นทางนักการเมืองและภูมิหลัง "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล เกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2509 เป็นบุตรคนโตของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เขาสำเร็จการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา สหรัฐอเมริกา และ Mini MBA จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายอนุทินมีเส้นทางการเมืองที่ยาวนานถึง 29 ปี โดยเริ่มต้นจากที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี พ.ศ. 2539 ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
เขาเคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบในปี พ.ศ. 2549 หลังพ้นโทษแบนในปี พ.ศ. 2555 เขากลับมาเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยต่อจากนายชวรัตน์ผู้เป็นบิดา ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุทินดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19
และล่าสุดในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก่อนจะลาออกจากตำแหน่ง
การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทินในครั้งนี้ เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากพรรคประชาชนที่มี 143 เสียง และพรรคอื่นๆ อีก 146 เสียง ซึ่งจะทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนนี้ผูกพันกับบันทึกความเข้าใจ (MOU) 5 ข้อ ที่พรรคประชาชนลงนามร่วมกับพรรคภูมิใจไทย โดยมีเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้รัฐบาลชุดนี้มีลักษณะเป็น "รัฐบาลเฉพาะกิจ"
1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
2. จัดทำประชามติเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าต้องมีการออกเสียงประชามติก่อน รัฐบาลชุดใหม่ต้องจัดให้มีขึ้นโดยเร็วที่สุดและไม่เกินวันเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไป
3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อน พรรคประชาชนและภูมิใจไทยจะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้
4. เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
5. พรรคประชาชนยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
เมื่อนายอนุทินได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องจับตานโยบาย 11 ข้อของพรรคภูมิใจไทยจะถูกผลักดันอย่างเต็มที่ ซึ่งครอบคลุมหลายด้าน
• เศรษฐกิจฐานราก: โครงการ "เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท" ที่มีเป้าหมายหยุดวงจรหนี้นอกระบบและสนับสนุนการประกอบอาชีพ รวมถึงนโยบาย "พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก" ซึ่งช่วยให้ประชาชนหยุดจ่ายหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี
• โครงสร้างพื้นฐาน: ผลักดันเมกะโปรเจกต์ "Landbridge อ่าวไทย-อันดามัน" เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมของอาเซียน และพัฒนาการขนส่งสาธารณะผ่านการนำรถเมล์ไฟฟ้าเข้ามาเพื่อลดมลพิษ PM2.5 โดยให้บริการค่าบริการเริ่มต้น 10 บาท และตั้งเป้าเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดให้เป็นรถไฟฟ้าใน 3 ปี
• สาธารณสุข: มีแผนการกระจายการรักษาไปสู่ท้องถิ่น ด้วยการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็น 2,000 บาทต่อเดือน พร้อมให้ประกันสุขภาพ และเปิด "ศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ"
• การท่องเที่ยว: มีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว 80 ล้านคน พร้อมรายได้ 6 ล้านล้านบาทภายในปี 2570 โดยพัฒนา "Wellness Resort of the World"
• เกษตรกรรม: นโยบาย "เกษตรร่ำรวย ด้วย Contract Farming" ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถรู้ราคาก่อนปลูกและรับเงินก่อนขาย
• พลังงานสะอาด: มีแผนติดตั้งโซลาร์เซลล์ฟรีบนหลังคาบ้าน ลดค่าไฟ 450 บาทต่อเดือน และส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาถูก
ภาคเอกชนมีความคาดหวังสูงต่อรัฐบาลอนุทิน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสุขภาพและความงามที่หวังให้สานต่อนโยบายด้าน Wellness และสร้างความชัดเจนในนโยบายกัญชาเพื่อใช้ในด้านการแพทย์ รวมถึงการบูรณาการโครงการข้ามกระทรวงระหว่างภาครัฐและเอกชน นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม มองว่านายอนุทินมีประสบการณ์และเข้าใจในธุรกิจเหล่านี้
ขณะที่ภาคค้าปลีก โดย ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกกลุ่มผู้บริโภค เช่น การลดภาษีนำเข้าสินค้าลักชัวรีและส่งเสริม Shopping & Wellness Tourism เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง รวมถึงเสนอมาตรการ Up-skill Re-skill ให้แรงงานในระบบประกันสังคม โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณผ่านสถาบันฝึกอบรม และโครงการจ้างงาน "รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง" โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% เพื่อสร้างงานใหม่ ลดการว่างงาน และเพิ่มกำลังซื้อ