ตัวเลขเล่าเรื่องสัญญาณอันตรายที่ทุกคนต้องฟัง

12 ก.ค. 2568 | 00:00 น.

ตัวเลขเล่าเรื่องสัญญาณอันตรายที่ทุกคนต้องฟัง : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,112

KEY

POINTS

  • ภาวะเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง 3 เดือน แม้จะช่วยลดค่าครองชีพ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงอุปสงค์ในประเทศ ที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน
  • ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคลดลงอย่างรุนแรง สะท้อนจากมาตรการทางธุรกิจที่รัดกุมขึ้น (เช่น การลดเครดิตเทอม) และกำลังซื้อที่หดตัวลง
  • World Bank ปรับลดประมาณการ GDP ของไทยลงเหลือเพียง 1.8% และ 1.7% ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ และ ภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว

อัตราเงินเฟ้อของไทยที่ติดลบต่อเนื่อง 3 เดือนที่ระดับ -0.25% ในเดือนมิถุนายน อาจดูเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคที่เห็นค่าครองชีพลดลง แต่เบื้องหลังตัวเลขนี้กลับซ่อนเร้นสัญญาณเตือนที่ทุกฝ่ายในสังคมไทยต้องให้ความสำคัญ แม้หน่วยงานราชการจะยืนยันอย่างมั่นใจว่า “ยังไม่มีสัญญาณเงินฝืด” แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏในภาคธุรกิจ ภาคประชาชน และตัวชี้วัดเศรษฐกิจต่าง ๆ กลับบอกเล่าเรื่องราวที่ทุกคนควรหยุดฟัง

การที่ผู้ประกอบการทั่วทุกภาคส่วน กำลังปรับตัวอย่างระมัดระวังเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน โดยการหั่นเครดิตเทอมจาก 30-60 วันเหลือเพียง 7-15 วัน หรือ บางรายต้องกลับไปซื้อ-ขายเป็นเงินสด นี่ไม่ใช่เพียงแค่การป้องกันความเสี่ยงทางธุรกิจ แต่เป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กำลังหดหายไปจากระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การลดปริมาณการขาย เพื่อลดความเสี่ยงจากการเบี้ยวเงิน รวมไปถึงการไม่ให้เครดิตแก่ลูกค้าใหม่

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการค้าปลีก ที่ลดลง 9.7 จุดในเดือนพฤษภาคม โดยลดลงทุกภูมิภาคและอยู่ตํ่ากว่าเส้นค่ากลาง 50 จุด สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่อ่อนแอ และความระมัดระวังของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การที่ผู้คนลดความถี่ในการจับจ่ายใช้สอย และลดยอดซื้อต่อครั้ง แม้ในช่วง Back To School ที่ควรจะเป็นช่วงเวลาที่การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต 

สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้น คือ การที่ World Bank ต้องปรับลดประมาณการ GDP ของไทยลงมาเหลือเพียง 1.8% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า ซึ่งตํ่ากว่าประมาณการเดิมอย่างมาก การปรับลดครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการประเมินความท้าทายหลายประการที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ทั้งจากปัจจัยภายนอกอย่างสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า รวมถึงปัจจัยภายในอย่างหนี้ครัวเรือนที่สูงที่สุดในอาเซียนที่ระดับ 80% ของ GDP

หนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์นี้ กำลังกดดันการบริโภคภายในประเทศอย่างหนัก เมื่อประชาชนต้องเอาส่วนใหญ่ของรายได้ไปชำระหนี้และดอกเบี้ย กำลังซื้อที่เหลือก็ลดลงตามไปด้วย 
ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวจากจีนที่เคยเป็นแหล่งรายได้สำคัญ ก็ลดลงอย่างมาก เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย ทำให้ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความยากลำบาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง 3 เดือนนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรมองข้าม แม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกอย่างราคานํ้ามันที่ลดลงและมาตรการของรัฐที่ช่วยเหลือค่าครองชีพ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ อุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้บริโภคลดการจับจ่ายใช้สอย ผู้ประกอบการก็ลดการลงทุนและการผลิต ธุรกิจขนาดกลางและเล็กต้องปิดตัวลง ส่งผลให้การจ้างงานลดลง และรายได้ของประชาชนลดลงตามไปด้วย ซึ่งกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยากจะหลุดออกมาได้ง่าย ๆ

เงินเฟ้อที่ติดลบ 3 เดือนติดต่อกัน ไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรมองว่าเป็นเรื่องดี เพียงเพราะช่วยลดค่าครองชีพในระยะสั้น เพราะมันสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอลง และขาดแรงขับเคลื่อนจากภายใน การที่ World Bank ต้องปรับลด GDP ไทยเหลือเพียง 1.8% และ 1.7% ในสองปีข้างหน้า เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ทุกฝ่ายไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปแบบนี้ได้อีกต่อไป

เวลานี้ไม่ใช่เวลาของการหาตัวผู้รับผิดชอบ หรือ การแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่เป็นเวลาของการรวมพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อลงมือทำอย่างจริงจังและเร่งด่วน ต้องไม่ลืมว่าทุกวันที่ผ่านไป ต้นทุนในการแก้ไขปัญหาจะสูงขึ้น และโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ก็จะน้อยลงไปด้วย 

ตัวเลขได้เล่าเรื่องแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนต้องฟังและลงมือทำ...

บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,112 วันที่ 10 - 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568