เตรียมรับมือสหรัฐฯขึ้นภาษี ผลกระทบไทยเป็นวงกว้าง

10 ก.ค. 2568 | 23:00 น.

เตรียมรับมือสหรัฐฯขึ้นภาษี ผลกระทบไทยเป็นวงกว้าง : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,113

KEY

POINTS

  • สหรัฐเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นและเสียเปรียบในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม และ มาเลเซีย
  • ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ตั้งแต่การลดลงของคำสั่งซื้อ, การชะลอการลงทุนจากต่างชาติ, ไปจนถึงความเสี่ยงในการเลิกจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs
  • รัฐบาลไทยกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดหย่อนอัตราภาษี แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะต้องแลกเปลี่ยนด้วยผลประโยชน์ทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมในประเทศ

สหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีตอบโต้นำเข้าสินค้าจากไทย 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ที่จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้ ทำเอาบรรดาผู้ส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐอเมริกาถึงกับช็อก แม้ทีมไทยแลนด์ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะนำทีมเจรจากับทางสหรัฐอเมริกา ออกมาระบุว่ายังมีระยะเวลาเหลือ พอจะมีหวังจากการปรับปรุงข้อเสนอใหม่ที่จะนำไปเจรจาขอปรับลดภาษีลงมาให้เท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ

สถานการณ์ดังกล่าว ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับภาคการส่งออกและการลงทุนของไทย เพราะหากสหรัฐอเมริการยังยืนตามมาตรการเดิม ภาคการส่งออกไทย คงหนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบ สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา จะมีราคาสูงขึ้น 36% ทันที ทำให้เสียเปรียบประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ที่ถูกเก็บภาษี 20% หรือ มาเลเซียที่ 25% โดยเฉพาะสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เช่น อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และ เครื่องดื่ม จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก 

ผู้ประกอบการสหรัฐอเมริกา อาจหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่าแทน และส่งผลต่อคำสั่งซื้อจากไทยลดลง ผลที่ตามมากระทบเป็นวงกว้าง โรงงานในไทยต้องลดกำลังการผลิตลงตามไปด้วย และมีความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา จะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเงินทุน และความสามารถในการปรับตัว ทำให้หลายรายอาจต้องประสบปัญหาทางการเงินหรือปิดกิจการ

นักลงทุนต่างชาติที่เคยวางแผนจะลงทุนในไทย หรือ มีฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อาจชะลอการตัดสินใจ หรือพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีอัตราภาษีตํ่ากว่า เช่น เวียดนาม หรือ ฟิลิปปินส์ (17%) และ สิงคโปร์ (10%) เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน 

และการที่ไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าคู่แข่ง จะทำให้ความน่าสนใจในการเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกลดลง กระทบต่อเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่จะเข้ามาในประเทศ และยังมีความเป็นไปได้ว่า บริษัทสัญชาติสหรัฐอเมริกา อาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น จะยิ่งทำให้เงินลงทุนจากต่างประเทศในไทยลดลง

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประเมินว่า หากไทยถูกสหรัฐอเมริกา เก็บภาษี 36% อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวได้เพียง 1.3% ตํ่ากว่าที่ประมาณการณ์เดิมไว้มาก

นอกจากนี้ หากสหรัฐอเมริการับข้อเสนอของไทย ในการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 90% โดยบางรายการเหลือภาษี 0% เช่น สินค้าเกษตร จะทะลักเข้ามาในตลาดไทย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรจากราคาสินค้าตกตํ่าลง และรัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีตามมา เป็นต้น

ดังนั้น ในระยะเวลาที่เหลือรัฐบาลไทยต้องใช้ช่องทางการทูตและการเจรจาอย่างเต็มที่ เพื่อหาทางลดอัตราภาษีให้ตํ่าลง หรือ ขอผ่อนปรนเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นข้อแลกเปลี่ยนทางการค้าอย่างเป็นธรรม รวมถึงการเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อมเอาไว้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,113 วันที่ 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568