พบกันครึ่งทาง ขึ้นราคา“น้ำตาล” 2 บาท

15 พ.ย. 2566 | 05:15 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ย. 2566 | 05:22 น.

พบกันครึ่งทาง ขึ้นราคา“น้ำตาล” 2 บาท บทบรรณาธิการ

ที่สุดแล้วที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2566 ก็มีมติให้ขึ้นราคานํ้าตาลทราย 2 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนอีก 2 บาท ที่ขอขึ้นเพื่อใช้ในกองทุนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม ครม.ยังไม่อนุมัติ โดยขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกันก่อน เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้บริโภคเพียงฝ่ายเดียว

แม้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะออกมายํ้าว่า การแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อลดความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร ส่วนเรื่องอื่นจะปรับอย่างไรนั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้ขอแก้ในส่วนที่ฉุกเฉินก่อน

แต่ดูเหมือนการเคาะขึ้นราคาแบบ “พบกันครึ่งทาง” จากก่อนหน้าที่เสนอปรับขึ้นราคา 4 บาท ก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับ “ชาวไร่อ้อย”

เพราะนับจากวันประชุมร่วมระหว่าง สำนักงานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยกับกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ควรที่จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องการบริหารตามกฎหมายอ้อยและนํ้าตาลทราย โดยชาวไร่อ้อยทำตามกรอบของกฎหมายอ้อยและนํ้าตาลทราย คือ การประกาศเพื่อกำหนดราคาขั้นต้นของทุกปี เพื่อกำหนดราคาอ้อย ซึ่งทุกปีก็ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดเกิดขึ้น

แต่การดึงนํ้าตาลทรายกลับมาเป็นสินค้าควบคุมนั้น มองว่าเป็นการบริหารงานที่ย้อนยุค การย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ลดลง ซึ่งสวนทางกับต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงคราม ภาวะเศรษฐกิจ ทั้งที่ราคานํ้าตาลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

พร้อมยืนยันว่า หากรัฐกลับไปควบคุมราคานํ้าตาล สุดท้ายจะทำให้อุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะชาวไร่อ้อย ไปต่อไม่ไหว และหากรัฐจะสนับสนุนหรือชดเชย ต้องใช้เม็ดเงินที่สูงมาก เพราะต้องช่วยทุกปี เนื่องจากการทำเกษตร 10 ปี จะมีกำไรก็อย่างมาก 2-3 ปี นอกนั้นก็ราคาตกตํ่า

ขณะที่การทำงานของคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและนํ้าตาล ที่เข้ามาศึกษาถึงข้อเท็จจริงด้านต้นทุนการผลิตอ้อย รวมถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมอ้อยและนํ้าตาล ทั้งเรื่องของดีมานด์ ซัพพลายทั้งตลาดในประเทศและทั่วโลก ก็ยังคงเดินหน้าต่อ

หากมองย้อนกลับไป สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและนํ้าตาลทราย (สอน.) ออกมาเรียกร้องให้ปรับขึ้นราคานํ้าตาลทรายหน้าโรงงาน 4 บาท ต่อ กก. เพราะต้องการให้ราคาตกถึงเกษตรกรชาวไร่ จากก่อนหน้าที่ราคาหน้าโรงงานปรับเพิ่มขึ้น ตามราคาตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น ทำให้หลายโรงงานหันไปเน้นส่งออก และยังมีกองทัพมดที่ลักลองส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน

ไม่ว่าจะกำหนดให้ “นํ้าตาลทราย” เป็นสินค้าควบคุม หรือจะเป็นการปรับขึ้นราคานํ้าตาลทราย 2 บาท ไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกใจแต่ต้องการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อควบคุมผลผลิต คุณภาพ ราคา และตลาด น่าจะเป็นการสร้างฐานรากของอุตสาหกรรมอ้อยและนํ้าตาลได้ดีที่สุด