ไก่ชนสยาม

05 ก.ค. 2568 | 00:45 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ค. 2568 | 00:45 น.

ไก่ชนสยาม คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • "ไก่ชนสยาม" มีประวัติศาสตร์ยาวนานและผูกพันกับวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง โดยมีเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์เช่นการชนไก่ของสมเด็จพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า ซึ่งเป็นที่มาของศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของไก่ชนไทย
  • การเลี้ยงไก่ชนมีคุณค่าในเชิงพาณิชย์สูง ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงสายพันธุ์ดีเพื่อสร้างรายได้ เช่น ไก่พันธุ์ "เหลืองหางขาว" ที่มีความเชื่อมโยงกับสมเด็จพระนเรศวร และ "เทาทองคำหางขาว" ในสมัยพระเจ้าตากสิน ไปจนถึงธุรกิจต่อเนื่องต่างๆ
  • ธรรมเนียมและกติกาการชนไก่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังปรากฏในคดีไก่ชนสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินที่ทรงวางบรรทัดฐานการตัดสินไก่ที่สู้กันจนตาย ซึ่งแตกต่างจากกติกาในปัจจุบัน

การชนไก่นี้มีมานมนานกาเล คนสเปญก็ชนไก่ คนอังกฤษก็ชนไก่ ญี่ปุ่นก็ใช่ ไม่ต้องพูดถึงคนโถกคนไทย และ ชาวประชาอุษาคเนย์ผู้ซึ่งพิศมัยในการกีฬาที่สัตว์แข่ง

คนเล่นไก่ชนกันก็สนุกคน ส่วนไก่จะสนุกด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่เป็นสัญชาตญาณของไก่เองที่โตแล้วต้องท้าทายกันชนกันตีกัน ส่วนที่คนสนุกกันนักก็เพราะมีเดิมพันกันด้วย จนต้องทำสถานที่ ‘เล่นไก่’ ให้ชัดเจนกันไป เรียกกันว่า บ่อนไก่ ไก่ตัวเด็ดเด็ดมีฝีมือนั้นก็เป็นไก่คู่เอก เดิมพันกันสูง ถ้าว่าตัวเดิมพันน้อยๆยังไม่เจนฝีมือเขาก็เรียกว่า “ไก่รองบ่อน” เกิดเปนสำนวนนิยมใช้กันไปทั่วทุกวงการ ส่วนว่าบ่อนไก่นั้นมีอยู่มากมาย จนกลายเป็นชื่อย่าน หัวหินก็มีย่านบ่อนไก่อยู่ทางไปหนองพลับ กรุงเทพก็มีย่านบ่อนไก่อยู่ถนนพระรามสี่ 55

 

ไก่ชนสยาม

 

ไก่ชนเหล่านี้มีคุณค่าในทางการพาณิชย์อยู่มาก ก็เหมือนกับม้าแข่ง ถ้าสายพันธุ์ดีมีฝีมือมากๆผู้คนก็ชอบซื้อในฐานะเอาไปทำพันธุ์ สร้างรายได้ให้กับผู้เพาะเลี้ยงเป็นกอบเป็นกำ (หลักฐานยังมีว่ายุคหนึ่งนายโอสถ โกศิน เปนกรรมการส่งเสริมสินค้าขาออก ราวปี 2513 ยังแจ้งความมาหนังสือพิมพ์ว่าได้รับจดหมายจากนักเลงไก่ประเทศอินโดนีเซียหลายรายประสงค์จะซื้อไก่ชนของไทยไปนอก เพราะทราบชื่อว่าไก่ชนของไทยนั้นเก่ง)ไหนจะค่าอาหารค่ายาค่าอุปกรณ์วิตามินค่าหมอ ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของไก่ชนอีกเล่า ล้วนแต่เปนเงินเปนทอง

เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรเปนเจ้า เสด็จไปเป็นองค์ประกันอยู่ที่หงสาวดี ก็มีคดีไก่ชนสำคัญจารึกไว้ในประวัติศาสตร์คืองานชนไก่สยามกับไก่ของพระมหาอุปราชามังสามเกียด

มาบรรทัดนี้ก็ต้องไล่กันยาวถึงที่มาที่ไปว่าตกลงแล้วหงสาวดีนี่เป็นเมืองใครกันแน่ เมืองพม่าหรือมอญ?

ก็จำจะต้องท้าวความไปถึงในยุคสมัยของพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ ซึ่งเป็นกษัตริย์หนุ่มลูกครึ่ง พระบิดาเป็นพม่าแท้ ตั้งราชสำนักอยู่ตองอู พระมารดาเป็นมอญ เวลานั้นเมืองมอญตั้งเป็นเอกรัฐอยู่ที่หงสาวดี พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ ยังเป็นเจ้าชายที่ราชบุตรมังตรา เกิดมามีลิ้นดำมีพระราชปณิธานในฐานะลูกครึ่งว่าหากจะรวมแผ่นดินพม่ามอญเข้าด้วยกันย่อมเป็นเรื่องดีและเหมาะสม

จึงได้ทรงหยั่งกำลังมอญ โดยการเสด็จบุกไปประกอบพิธีเจาะหูที่พระมหาธาตุมุเตาเจดีย์ทองขนาดยักษ์กลางเมืองหงสาวดีราชธานีมอญ ก็หามีผู้ใดต้านทานไว้ไม่ รายละเอียดเล่าสู่ท่านฟังไว้แล้วในตอน “ม่านพม่ารามัญมอญ” และ “ทหารม้ากระพรวนทอง” ตัดตอนมาตรงที่ว่าพระเจ้าตะเบงชเวตี้ท่านยึดราชธานีหงสาวดีได้สำเร็จและย้ายเมืองหลวงจากตองอูเข้ามาอยู่ที่นี่แทน เลยเรียกขานจากพระเจ้าตองอูกลายเป็นพระเจ้าหงสาวดี ด้วยเหตุนี้

จนเมื่อท่านยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระศรีสุริโยทัย พระเจ้าหงสาวดีลิ้นดำก็มีพี่เขยมาด้วย ชื่อว่าบุเรงนอง เป็นแม่ทัพเก่งกล้าประจำตัว พอสิ้นรัชกาลพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ด้วยอุปัทวเหตุบางประการ บุเรงนองก็มีท่าทีตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ และสามารถกระทำการได้สำเร็จเถลิงราชสมบัติกลายเป็นพระเจ้าหงสาวดีคนต่อมา ในรัชสมัยของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองนี้ โอรสของท่านชื่อว่ามังชัยสิงห์ เป็นที่พระมหาอุปราชา มังชัยสิงห์มีลูกชื่อว่ามังสามเกียด ชื่อเป็นทางการเรียกมังกะยอชวา (ไม่มีคำว่าราย_ ถ้ามังรายกะยอชวาเป็นอีกคนอีกเรื่องหนึ่ง)

ในเวลานั้นมันสามเกียดอายุไล่เลี่ยกันกับสมเด็จพระนเรศวรมักจะเรียนอะไรๆด้วยกันเล่นด้วยกัน ต่อมาพระเจ้า 10 ทิศบุเรงนองสวรรคต มังชัยสิงห์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนในนามพระเจ้านันทบุเรง มังสามเกียดจึงเป็นที่พระมหาอุปราชา เมืองพม่า แทนที่พระบิดาของตน

 

ไก่ชนสยาม

 

ส่วนกรณีที่เราเรียกพระเจ้า10 ทิศ หงสาวดีนั้น หมายความว่าปกติแล้วทิศมันมีอยู่แปดทิศรอบตัวเราคือเหนือใต้ออกตก และเฉียงเหนือเฉียงใต้ แต่พระเจ้าหงสาวดีผู้นี้มีบรมเดชานุภาพมากสามารถเอาชนะทั้งทิศเบื้องบนคือสวรรค์และทิศเบื้องล่างคือนรกได้ด้วยก็เลยกลายเป็นพระเจ้า 10 ทิศ ด้วยเหตุนี้

ครั้งหนึ่ง เจ้าชายมังสามเกียดเล่นชนไก่กับเจ้าชายพระนเรศ ไก่ทั้งสองสู้กันตีเข้าใส่ใช้เดือยใช้แข้งโดยฟาดฟัน ก็ปรากฏว่าไก่สมเด็จพระนเรศวรชนะไล่ไก่พม่าแพ้ไป

พระมหาอุปราชามังสามเกียด ทรงผูกใจแค้นดำรัสแซะว่า ‘ไก่เชลยตัวนี้ฝีมือดีจริง’ เจ้าชายพระนเรศวรจึงสวนไปว่า “ให้ตีกันเอาบ้านเอาเมืองยังได้!”

หมายความว่าในลัทธิของกษัตริย์และเจ้าชายเขาต้องเล่นกีฬากันแข่งบารมีกัน ไอ้การเล่นนั้นอาจจะลงเล่นเองหรือให้ผู้อื่นเล่นก็ได้ การรบนี่ก็เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งของวรรณะกษัตริย์ ทั้งจัดกองทัพแต่งองค์ทรงเครื่องฝึกฝีมือการสงครามให้ดีแล้วก็ออกไปรบเล่นกัน ถึงว่าตีไก่พนันกันไม่เท่าไหร่ขยับเดิมพันให้สูงเป็นบ้านเต็มเมืองก็ยังได้ ก็นับเปนการละเล่น

คดีไก่ชนพระนเรศนี้จึง เป็นจุดกำเนิดของความนิยมตามหาว่าไก่ชนะของสยามนั้นเป็นสายพันธุ์อะไรจึงมีความเก่งกล้าสามารถมาก นักประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้ว่าเป็นไก่เหลืองหางขาว

ซึ่งกรมปศุสัตว์ยุคหลังมานี้เองก็บอกว่าพบมากที่บ้านกร่างจังหวัดพิษณุโลก

เนื่องเพราะสมเด็จพระนเรศวรนั้นทรงใช้ชีวิตวัยเยาว์ที่พิษณุโลกในฐานะเจ้าฟ้าสองแควประทับอยู่ที่พระราชวังจันทร์เกษมใกล้แม่น้ำตรงละแวกวัดใหญ่ พระศรีรัตนมหาธาตุ

ดังนี้จึงเป็นที่มาว่าเมื่อเสด็จล่วงลับไปแล้วพระวิญญาณยังคงสถิตย์อยู่ เมื่อผู้คนกราบไหว้บนบานก็นิยมนำรูปไก่ชนไปถวายเป็นเครื่องสักการะที่วัดสุวรรณดาราราม กรุงเก่า มีรูปซึ่งศิลปินในยุครัชกาลที่หกวาดไว้เป็นตอนสมเด็จพระนเรศวรชนไก่กับพระมหาอุปราชามังสามเกียดสวยงามมาก ท่านผู้วาดชื่อ พระยาอนุสาสน์จิตกร ต่อมาได้เปนที่องคมนตรี ท่านผู้นี้เปนคุณตาของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช

 

ไก่ชนสยาม

 

แทนแทน ธัญญวัฒน์ ศิลปินหนุ่มน้อยเชียงราย เห็นเรื่องพระนเรศวรชนไก่แล้วมีความสะเทือนใจ คิดจะว่าสถานการณ์ไก่ชนในสังคมชนบทของชาติควรสร้างให้เกิดเป็นงานศิลปะขึ้นมาได้ ระหว่างนี้ขึ้นเครื่องบินออกมาจากเชียงรายก็นั่งวาดไปด้วยได้ภาพสเก็ตช์ไก่ชนสวยงามพุ่มหางสวยเดือยยาวแหลมเฟี้ยวมาฝากท่านผู้อ่านตัวหนึ่ง เมื่องานศิลปะสำเร็จแล้วจึงจะนำเสนออีกครั้งให้ท่านได้ชื่นใจรับชม

อีทีนี้ก็ให้นึกถึงว่า ครั้งสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินซึ่งก็เป็นวีรบุรุษสงครามอีกท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย

คดีไก่ชนก็มามีบทบาทอีกเช่นกัน เมื่อเวลาราชการว่างที่จวนเจ้าเมืองตากตรงป่ามะม่วงก็มีการเปิดบ่อนไก่ เป็นเรื่องของการตีไก่จากเจ้าของที่เปนข้าราชการต่างๆเอามาประชันกัน

คราวนี้ไก่ชนตีกันอย่างสมศักดิ์ศรีเรียกว่ามีเทคนิคเคิลน็อกเอาท์ กล่าวคือปกติทั่วไปแล้วไก่เมื่อตีกันตัวไหนที่ไม่สู้จะวิ่งหนีออกจากบ่อนตัวที่ชนะได้ทีวิ่งไล่ก็เปิดเปิงถือว่าตัวที่หนีนั้นแพ้สามารถตัดสินได้

คราวนี้ไก่ของนายทองดีสามารถตีจนไก่ฝ่ายตรงข้ามตายคาสังเวียน ไม่มีอยู่ในกฏกติกาจะปรับแพ้ชนะได้หรือไม่ !?! ครั้งนั้นยังทรงดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตาก นายทองดีฟันขาวซึ่งต่อมาเป็นพระยาพิชัยดาบหักได้เข้ามาทำราชการกับท่านแล้ว เปนที่หลวงพิชัยอาสา มีไก่ชนเก่งอยู่ตัวหนึ่งชื่อพาลี ฝ่ายหลวงเมืองตาก ที่ต่อมาได้เปนพระยาพระคลัง ก็มีไก่แก่เจนเวที ชื่อเจ้าโทนเถ้า(สีเหมือนขี้เถ้า)

ซึ่งประวัติของมันนั้นตอนแม่ไก่ออกไข่ เจ้าของได้นำไข่มาชั่งได้ไข่ที่มีน้ำหนักกว่าฟองอื่นๆมา 3 ฟอง จึงให้ฟักเพียง 3 ฟองนั้น และสุดท้ายฟักออกได้เพียงตัวเดียว จึงตั้งชื่อว่า“เจ้าโทน” ตัวโตมาก แถมเปนสายพันธุ์เหลืองหางขาวอีกด้วย

ตามปกติแล้วเวลาจะชนไก่กันเขาจะต้องเอามาเปรียบขนาดตัวกัน จะได้ไม่ได้เปรียบเสียบเปรียบกันมาก แต่คราวนี้หลวงเมืองลักไก่ไม่ให้เปรียบอุ้มใส่ถุงกันมาก็ให้คลุมโปงเปิดใส่สังเวียนตีกันเลย (เปนที่ของคำว่า “คลุมถุงชน” 55)

ไก่โทนได้เปรียบไก่พาลีอยู่มากเพราะตัวใหญ่กว่า พอได้ทีก็ขี่ทับแล้วตีแสกหน้า ท้ายเสนียดและคอเชือด แต่แล้วเกมส์กลับพลิกไก่พาลีเข้ามาตีที่หลอดลมของไก่โทนจนถึงแก่ความตาย (คาดว่าหากไม่เกิดอุบัติเหตุนั้นเสียก่อนไก่โทนเถ้าก็จะชนะไก่พาลีได้อย่างเด็ดขาด) เมื่อประกาศผลออกมาว่าไก่นายทองดีชนะก็บังเกิดนิติสงครามขึ้นล่ะซีทีนี้ ว่าไก่ชนนี้โดยทั่วไปแล้วไม่มีบทบัญญัติว่าไก่ตายคือไก่แพ้

ฉะนั้นแล้วไม่อาจบอกได้ว่าไก่ที่ตายเป็นไก่แพ้เพราะไก่แพ้มีลักษณะเดียวคือถูกไล่ออกจากสนามโดยฝ่ายชนะไล่จนหนีอุตลุด การจะปรับให้ไก่ตายแพ้ไม่มีอยู่ในกติกาแต่ไหนแต่ไรมา(และเผลอเผลอบางทีไก่ที่ตีเขาจนตายนั้นเจ้าของจะต้องรับผิดชอบความตายเสียด้วย 55)

ความร้อนถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินต้องเสด็จมาคิดกรรมวิธีพิจารณาตัดสินไก่จึงทรงให้นำศพไก่โทนขึ้นบนขาหยั่งปล่อยให้ไก่ชนะได้เข้าจิกตีศพถ้าไก่โทนศพตกจากขาหยั่งถือเป็นแพ้ ถ้าไม่ตกเปนไม่แพ้

ทั้งสองฝ่ายยอมตามวิธีของพระยาตาก นายบ่อนจึงนำขาหยั่งขึ้นเอาไก่โทนเถ้าวางบนขาหยั่งปล่อยให้ไก่พาลีเตะจิก คนแถวนั้นได้ยินหลวงพิชัยอาสาร้องบอกไก่ของตัวเองว่า “อ้ายลูกแก้วจิกกระชากเข้าจนตกขาหยั่งให้ได้สิหว่า” ซึ่งเป็นที่น่าพิศวงยิ่ง พอหลวงพิชัยฯพูดขาดคำลง ไก่พาลีก็ตรงเข้าจิกดึงกระชากจนไก่โทนตกจากขาหยั่งเหมือนรู้ภาษาคนบันทึกกันว่า “ฝ่ายหลวงเมืองก็ยอมแพ้ ฝ่ายหลวงพิชัยฯก็ดีใจกันยกใหญ่”

พระเจ้าตากสินทรงพระสรวลรับสั่งว่า “เจ้าของไก่หรือก็มีฝีมือมวยและฟันดาบเป็นเทวดา มีไก่ก็มีแข้งเป็นเทวดาอีกด้วยเป็นที่น่าประหลาดเหลือ” ตั้งแต่นั้นมาจึงถือเอาธรรมเนียมไก่ตีกันตายต้องเอาศพขึ้นขาหยั่งพิสูจน์ต่อเพิ่งจะเลิกธรรมเนียมแบบนี้มาประมาณ50กว่าปีมานี้เอง ปัจจุบันไก่ตายถือว่าแพ้ไม่ต้องขึ้นขาหยั่ง

 

ไก่ชนสยาม

 

จากประวัติการเล่นไก่ชนของพระยาพิชัยดาบหักจะเห็นว่าธรรมเนียมการชนไก่ของไทยได้สืบทอดกันมาแต่โบราณ เพียงแต่ปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นตามกาลเวลา เช่น สมัยก่อนมีการขริบหรือลู่ปลายตอเดือยไม่ให้คมมาก แต่ทุกวันนี้ได้ใช้นวมที่พัฒนามาจากพลาสเตอร์เทปพันเดือยแทน และถือว่าไก่สกุลเหลืองหางขาวเป็นไก่ชนที่มีสกุลสูงกว่าไก่ชนสี/พันธุ์อื่นๆ แต่ก็เปนที่รู้กันว่าแม้ศักดิ์จะสูงก็แพ้เป็นเหมือนกัน

ส่วนกรณีไก่ของ พระเจ้าตากสินนั้น คราวเมื่อทรงนำทัพหลวง ขึ้นมาทางลำน้ำแควใหญ่ เพื่อตั้งสกัดกองทัพอะแซหวุ่นกี้ ที่บ้านปากพิง แขวงเมืองพิษณุโลก และทำการรบพุ่งกันเป็นสามารถ จนสามารถขับไล่ทัพพม่า จนพ้นจากอาณาเขตประเทศสยามได้สำเร็จ โดยตลอดเวลา 49 วัน ที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้ประทับอยู่ที่บ้านปากพิง ก็เล่าขานกันว่าพระองค์ได้ทรงเลี้ยงไก่เทา(เถ้า) ทองคำหางขาว ซึ่งเป็นไก่ที่สง่างาม มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว จึงทำให้ชาวบ้าน บ้านปากพิงแห่งนี้ จึงได้หันมา อนุรักษ์และเพาะพันธุ์ไก่เทาทองคำหางขาว และส่งเข้าประกวด ทำให้คนรู้จักไก่เทาทองคำหางขาว กันมากขึ้น และโด่งดังไปไกลถึงตลาดต่างประเทศ ทำให้ราคาพุ่งสูงถึงหลักหมื่น บางตัวสวยจัดราคาสูงถึงตัวละ 5 หมื่นบาทเลยทีเดียว

ขอบคุณภาพสวยจากวัดบางเดื่อ/วัดสุวรรณดาราราม