KEY
POINTS
หลังจากที่บรรณาธิการบริหารท่านเปิดโอกาสให้มีพื้นที่สำหรับการผลักดันศิลปินรุ่นใหม่ของไทยเราได้ใช้ตั้งกองกำลังทางศิลปะแขนงต่างๆ ทำการสร้างสรรค์ผลงานศิลป์ สื่อสารไปให้โลกรู้ว่าเมืองไทยมีดี จะได้เปิดศักราชเสริมรายได้จากเศรษฐกิจ ซอฟท์พาวเวอร์ นำเงินตราเข้าประเทศกันบ้าง ประดาน้องนุ่งชาวศิลปะทั้งหลายก็รู้สึกขอบน้ำใจท่านผู้หาทางส่งหนุนศิลปะศิลปินไทยให้ไปได้ไกลสู่สากล จนอยากจะขนานนามท่านว่า บิ๊กหนุน 55
พักนี้เมื่อได้เข้าไปพบปะคลุกคลีกับกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ๆโดยเฉพาะที่ทับแก้ว มหาวิทยาลัยศิลปากรเพื่อทำสกู๊ปชุดนี้มานำเรียนบริการท่านผู้อ่านแล้วก็ทำให้พบว่า มันมีปรากฏการณ์ที่น่าแปลกใจอยู่บาง_และหลายอย่าง
กล่าวคือบทความในคอลัมน์ Cat Out of The Box ที่เขียนลงไว้ให้กับฐานเศรษฐกิจตลอดระยะเวลาห้า/หกปีมานี้นั้นแลเหมือนจะมีผู้วาดภาพศิลปะงามงดแห่งบทความนั้นๆรอเอาไว้แล้ว ชั่วแต่ว่าหากันไม่เจอ หรือถ้าเจอ (ตัวผู้วาด) ก็หาไม่พบตัวงาน! กลายเปนว่าภาพศิลปะที่จะเชื้อเชิญมาประกอบบทความนั้นหลบนิ่งอยู่ ปล่อยให้ผู้ผลิตผลงานวรรณศิลป์เดินหน้าตีพิมพ์ไปโดยลำพัง จนกระทั่ง มาถึงจุดนี้เหมือนมีมือลึกลับมาเปิดประตูให้เข้าไปสู่กองสมบัติภาพวาด/จิตรกรรมจำเพาะเรื่องนั้นๆ ที่เหมาะที่สม ชนิดที่ว่า ถ้าได้ร่วมมือกันแต่วันแรก ผลงานชนิดที่ว่า X - cross กันนั้นจะทวีคุณค่าแก่ท่านผู้เสพงานอย่างมากมาย คล้ายกับว่างานฝ่ายจิตรกรรมประติมากรรม รั้งรออยู่ที่จะต้องร่วมมือกับงานวรรณกรรมวรรณศิลป์! ซึ่งถ้าเมื่อร่วมกันแล้วย่อมเกิดเป็นแรงผลักดันขนาดใหญ่ให้ระบบซอฟท์พาวเวอร์ขับเคลื่อนเดินงานกันไปได้
เริ่มจากตอนล่าๆมานี้ก่อน อย่างเช่น ตอน “ชายหาญ กับศิลปะการสักยา” ที่ว่า…ชายหาญแดนสุวรรณโคมคำ สักยันต์สักยาตามตัว สะพาบดาบแลวหลูบเงิน (แลว_แปลว่าดาบ/หลูบ คือการหุ้ม) เหน็บมีดน้อยหางปลาแฟนให้มา โพกผ้าใส่หมวกกูบ ห้อยตะกรุดลูกประคำ เครื่องราง (ใช้ร. เรือเพราะเก็บอยู่ในรางไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นของโชคลาง)
เมื่อยังเล็ก ชายหาญจะต้องไปบวชเณร พอโตขึ้นแล้วก็ ต้องสักลายซะหน่อยเพื่อแสดงความเป็นผู้ใหญ่ว่าไม่กลัวเจ็บ ลายนี้ต้องสักที่หน้าขา ไปยังแก้มก้น มีครูบาอาจารย์สักให้ สักที่หน้าท้องด้วยหัวหน่าวด้วย(คนไทยเรียกว่าพุงดำ) แล้วก็ไปแอ่วสาว โดยจะต้องมีความสามารถเชิงช่างอะไรสักอย่างหรือไม่งั้นต้องเล่นดนตรีหรือร้องเพลงได้ เพราะผู้ชายหาญล้านนาต้องโรแมนติก ตกกลางคืนแต่งตัวให้สวยดีแล้วก็เดินเป่าขลุ่ยสีพิณไปหาสาวที่บ้านเขา (ใช้คำว่าสวยเพราะชายหาญหน้าตาต้องหล่ออยู่แล้วจะแต่งตัวให้หล่อเข้าไปอีกมันยากเกินไป แต่งให้สวยถึงจะถูกใจฝ่ายสาว) ส่วนวิชาให้เขารักครูบาสอนเอาไว้ตั้งแต่ตอนเปนเณรเรียกคาถาสาวหูม ส่วนวัสดุอาถรรพ์อื่นก็พกไปบ้างอาจจะเป็นพวกอิ่นหรือน้ำมันหอม…
… อีกอัตลักษณ์หนึ่งของ ผู้ชายล้านนา คือ “สักลายแขนขา” เพื่อแสดงความเข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ในการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว การสักของฝ่ายนี้จะมีรายละเอียดของการดำเนินการแบ่งไปตามความสูงต่ำของอวัยวะในร่างกายโดยจะเริ่มจากส่วนล่างคือขาก่อน การสักขาในอดีตนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการอยู่ยงคงกระพันหรือมีคุณวิเศษแต่อย่างใดเป็นไปเพื่อการสำแดงความมีน้ำอดน้ำทนของเยาวชนที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งโดยมาตรการทางสังคมแล้วในหมู่หนุ่มๆใครที่มิได้สักขาก็จะได้รับการดูถูกเหยียดหยามโดยเฉพาะยามเมื่อไปอาบน้ำ ซึ่งตามภูมิประเทศก็เป็นลำน้ำที่เปิดโล่งทำให้เห็นกันหมดว่าใครสักใครไม่สัก ผู้ไม่มีลายที่ขาซึ่งคนอื่นเขาสักไว้เสมือนกางเกง ก็จะถูกขับออกจากกลุ่มโดยเย้าแหย่ว่าให้ไปอาบน้ำรวมกับผู้หญิงเนื่องจากเป็นคนเนื้อตัวเปล่า ลายสักที่บริเวณขาหรือก้นนี้มักนิยมสักเป็นรูปแมว หรือสัตว์ในตำนานเช่นตัวม้าวตัวมอม ใช้สีดำลงสักพื้นหนา ….
อย่างนี้! สู้อุตส่าห์ตีพิมพ์ไปแล้วไม่มีรูปสวยรูปงามมาประกอบให้เห็นภาพจังหวะ ก็ให้บังเอิญไปเจอภาพงามตรงเนื้อหาพอดี ที่ศิลปินหนุ่มน้อยเชียงราย นามกรว่า ‘แทนแทน ธัญวัฒน์’ เขียนสีน้ำมันเอาไว้ เปนรูปตัวเขาเอง กำลังแทงเข็มสักต้นขา อย่างที่เรียกว่าขาก้อม ปรากฏเปนลายสรรพสัตว์ตัวมงคลต่างๆ สมดั่งที่บรรยายไว้
รีบติดต่อไปหาเจ้าตัว เพื่อจะขอซื้อภาพนั้นมาเก็บสะสมไว้แล้วจะได้แบ่งนำมาถ่ายลงคอลัมน์ให้ท่านผู้อื่นได้ชื่นชมประกอบต่อไป ก็ได้รับคำตอบว่า‘ผมเขียนไว้ตั้งแต่สมัยเรียนปีต้นๆ นึกว่าไม่มีใครต้องการ ก็เลยลบกลบไปแล้วล่ะครับรูปจริง’ หาาา..!?!
นี่ล่ะครับ พระเดชพระคุณ ที่ว่า กว่าจะหาผู้วาดเจอว่ายากแล้ว งานถึงหาผู้วาดเจอก็ไม่พบภาพเสียอีก! จึงต้อง
ขอให้ แทนแทน พิจารณาเขียนภาพนี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งภาษาวงการศิลปะ โดยทั่วไป ท่านใช้ทับศัพท์ ว่า commission
ซึ่งอันว่าฝ่ายจิตรกรรมเขาก็มีศักดิ์มีศรีของเขา จะไปจ้างไปสั่งเขาสร้างงานมันจะดูไม่มีมารยาท แถมรุ่นคร่ำครึบางคนยังหาว่า ไปทำทำไมงานวาดภาพประกอบบทความ_ปั้ดโถ่! ต้องสร้างงานศิลปะเซ่!
คิดกันอย่างงี้กระเดี๋ยวฝ่ายวรรณศิลป์น้อยใจ งานใหญ่มันจะไม่เกิดเอานา แทนแทน ซึ่งเปนคนรุ่นใหม่
ชอบงานวาดงานเขียนมาแต่ไหนแต่ไร ก็แบ่งเวลาจากงานสร้างตัวคาแรกเตอร์ดิจิตอล (งานศิลป์ยุคไฮเทค) มาผสมสี ขึงผ้าใบทำให้ใหม่จนเเล้วเสร็จหนึ่งเดือน นำมาลงให้ท่านชมพร้อมนี้
ต่อมาก็ต้องเรื่อง “พระแสง และ พระแสงราชศัสตรา” ซึ่งต่อเนื่องมาจากตอน “ดาบสรีกัญไชย” ที่ว่า…ตามที่ได้เล่าสู่ท่านฟังแล้วว่า ดาบสรีกัญไชยนั้นในทางคติชนวิทยาถือกันว่าเปนของที่สร้างมาเพื่อเปนปฏิภาคกับพระขรรค์ไชยศรี(เก่า)ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาโน่น
ส่วนพระขรรค์ไชยศรีองค์ปัจจุบัน หรือ พระขรรค์ไชยศรีที่มาสู่พระบารมีสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น
อาจจะเปนองค์เดียวกันกับพระขรรค์ไชยศรี (เก่า) ก็อาจเปนได้…
เรื่องเล่าสำหรับพระขรรค์ไชยศรีปัจจุบันนั้น ท่านผู้ใหญ่เคยพูดให้ฟังว่า หากจะมีเหตุต้องชำระ (ทำความสะอาด/ลงน้ำมัน) จะอัญเชิญลงมาจากบันไดแก้วเฉพาะวันอังคารเท่านั้น ด้วยวันอังคารเปนวันเเข็งตามศาสตร์ไทย ผู้อัญเชิญจะเปนสายสกุล/ตำแหน่งที่รับพระบรมราชานุญาตเฉพาะเท่านั้น และทุกครั้งที่เปลือยฝัก (ถอดจากฝัก) ยามเก็บจะต้องสังเวยดื่มเลือด โดยบาดนิ้วผู้อัญเชิญนิดหนึ่งเสมอไป..
งานนี้ก็ให้บังเอิญได้พบกับภัทรภณ คำผ่อง ผู้ซึ่งทำงานศิลปะนิพนธ์เกี่ยวกับเครื่องราชูปโภคยุคโบราณพอดี (ที่คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ของศิลปากรนี้เรียน 5 ปี และต้องทำศิลปะนิพนธ์ เพื่อจบการศึกษา) ดูผลงานเขียนพระแสงด้ามแก้วนี้ดูเถิดท่านผู้อ่าน มันช่างละเอียดยิบๆวิบวับๆงามจับตา
ภัทรภณว่า “โดยปกติแล้วเป็นคนชอบวาดอะไรที่ละเอียดและเล็กมากๆอยู่แล้ว แต่กับงานชิ้นนี้มันต่างออกไป ความละเอียดที่มีจากดาบต้นแบบนั้นแทบไม่มีพู่กันเบอร์เล็กเบอร์ไหนเขียนให้ได้ดั่งใจเลย หรืออาการผลกระทบต่างๆที่มีต่อดวงตา ในการเพ่งมากจนเกินไป ในขณะที่ทำงานนี้ก็เจอกับเรื่องอะไรต่างๆมากมายจนแทบจะไม่อยากวาดแล้ว แต่ก็พยายามทำให้ดูเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุดจนได้ ในตอนนี้เหลือแค่เก็บรายละเอียดแบบต้องใช้แว่นส่องเวลาดูงานเพียงเท่านั้นครับ_55 แต่ต้องยอมรับเลยว่าผลที่ได้มันคุ้มค่าจริงๆ จะพยามทำให้งานคุณภาพดีงานชิ้นนี้ดียิ่งขึ้นไปอีก”
ศิลปะนิพนธ์ของภัทรภณ ใช้ หัวข้อ “ภาพเหมือนวัตถุ ศรัทธา” มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจและถ่ายทอดความงดงาม
เชิงสัญลักษณ์ของวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ไทย โดยมุ่งเน้นที่เครื่องทองจากกรุวัดราชบูรณะ
ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าทางศิลปวัฒนธรรมและสะท้อนถึงความศรัทธา ความรุ่งเรืองของอาณาจักรและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในธานะศูนย์รวมจิตใจของคนไทยในอดีต โดยผลงานสร้างสรรค์ในครั้งนี้ใช้เทคนิคสีน้ำมัน(Oil Painting) ที่มีจุดเด่นในด้านการสร้างชั้นสีที่ลุ่มลึกถ่ายทอดความละเอียดอ่อนของพื้นผิววัตถุ และการเล่นแสงเงาที่ช่วยเน้นความงดงามของลวดลายทองคำและองค์ประกอบต่าง ๆ เขาเก็บข้อมูลเชิงภาพและวิเคราะห์คุณค่าทางศิลปะและจิตวิญญาณหมายใจให้เป็นทั้งผลงานเชิงศิลปะและพื้นที่สำหรับการเรียนรู้และสะท้อนความคิดเกี่ยวกับมิติทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณที่สืบทอดผ่านวัตถุทางศิลป์
ในขณะที่ตอน “พระทองคำหลังกบ” ฉบับ 3809 ระบุว่า …ว่ากันว่าอีกว่า พระบุเรงนองหลังกบนี้ ด้านหน้าจำลองมาจากพระปฏิมาเนื้อนิ่ม_พระมหามัยมุนีพันปี ที่ประดิษฐานอยู่ ณ อดีตราชธานีมัณฑะเลย์ ซึ่งเปนพระปฏิมาสำคัญสูงสุดในราชอาณาจักร ชาวพุทธพม่านับถือว่าได้รับพรพระราชทานจากสมเด็จพระบรมศาสดาให้มีลมหายใจเปนตัวแทนพระพุทธองค์ ชาวพม่ามีพิธีถวายน้ำสรงพระพักตร์ทุกเช้ามืดแต่ตีสามทุกวันติดต่อกันมาเปนร้อยๆปี
ส่วนกบในทางธรรมชาติวิทยาแล้วก็ต้องท้าวความอันว่ามนุษยชาตินั้นชอบฝน ด้วยว่าฝนนำมาซึ่งความอุดมและงอกเงยพืชผลธัญญาหาร ดังได้กล่าวเเล้วในเรื่อง rainmaker อย่างไรก็ดีหากได้สังเกตที่กลองมโหระทึกเรียกฝน อันเปนแผ่นกลองโลหะมงคลในยุคโลหะ ก็จะพบกบอยู่สี่มุม
เชื่อว่าเปนด้วยอิทธิคุณของกบ เพราะว่า ฝนตกเพราะกบมันร้อง! บางคราวบางกลองใช้กบขี่กันอย่างว่าสังวาส แสดงให้เห็นว่าความพรั่งพรูอุดมสมบูรณ์ออกลูกออกหลานของพืชพันธุ์สัตว์พันธุ์ธัญญาหารมาพร้อมกับสายฝนพรั่งพรู…
ก็ให้มาพบกับงาน กบ ที่ตรงกับโจทย์โดยบังเอิญ ทำจากด้ายสีธรรมชาติปักผ้าดิบ สวยงาม rustic มาก
ธีรภัทร พรมชัย ผู้สร้างสรรค์ ทำงานศิลปะเกี่ยวกับกบสวยๆงามๆ และลึกซึ้งเอาไว้มากเล่าให้ฟังว่า “ผมเกิดและเติบโตในจังหวัดอำนาจเจริญพื้นที่ชนบทในภาคอีสาน ตั้งแต่เด็กคลุกคลีอยู่กับท้องทุ่งนา ป่าข้าว ทุ่งหญ้า ลำห้วย ลำคลอง วิถีชีวิตของชาวบ้านอันเรียบง่ายเคียงคู่และผู้คนที่เป็นกันเอง สนุกสนาน ร่าเริง เมื่อถึงเดือนมิถุนายนฝนตกลงสู่พื้นดินเป็นการเริ่มฤดูกาลทำนาพ่อแม่พาไปด้วยได้พบเจอกับสัตว์น้อยใหญ่โดยเฉพาะกบ เขียด ส่งเสียงร้องก้องทั่วท้องนา
ในวันที่สายฝนโปรยลงสู่พื้นดินความชุ่มชื้นเข้าแทนที่ความแห้งแล้งก่อเกิดความอุดมสมบูรณ์เขียวขจีทั่ว
ท้องนา บรรยากาศกลางทุ่งที่สดชื่น สดใส มากด้วยด้วยเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่ต่างตื่นเต้นกับสายฝนราวกับได้ชีวิตใหม่ กระโดดร้องเล่นอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะกบเขียดส่งเสียงร้องกันระงมเสมือนว่ากำลังขับกล่อมท้องทุ่งนาด้วยการร้องเล่นหมอลำ
ในผลงานผมใช้รูปลักษณ์ของกบ เขียด เปรียบเสมือนผู้คน ชาวบ้านที่กำลังร้องหมอลำ ทำกิจกรรมต่างๆสวมใส่เสื้อผ้าพื้นถิ่นพร้อมใจกันประสานเสียงขับกล่อมทุ่งนาอย่างสนุกสนานพร้อมกับสัตว์นานาชนิดที่พบได้ในท้องถิ่น ร่วมวงกันอย่างสดใสร่าเริง”
หอมไอดิน กลิ่นฝน ล่องลอยมากับกลิ่นความสมใจและร่วมรื่นสุขกันเลยไหมล่ะ SOFT POWER!