KEY
POINTS
มอมคือตัวอะไร? ทำไมชอบปรากฏตัวอยู่ตามศาสนสถานเมืองเหนือ?
เช้านี้แวะมาศิลปากรทับแก้วพบงานดีๆรูปมอมเข้าตัวหนึ่ง มันกำลังออกอาการ lunatic_ หลงใหลใฝ่ฝันเฝ้าพินิจดอกบัวจันทรา ซึ่งศิลปินหนุ่มล้านนา ฟองมัน ธนะภูมิ กวาวสิบสาม ว่าที่มหาบัณฑิตภาควิชาศิลปะไทย แกสร้างสรรค์ไว้เมื่อสองปีก่อน
มอมตัวนี้มีสีสวยนวลตา ท้องมันทาสีชมพูเรื่อแรง เกล็ดสีขาบ _ม่วงเม็ดมะปราง ขลิบด้วยเขียวเวอริเดี้ยนสดใส เลี่ยมทอง ใจหนึ่งมันคงอยากจะคว้าดอกบัวจันทร์แต่ด้วยอำนาจลึกลับลูนาติคนั้น ทำเอามันลังเลบนความฉงนสงสัย ผีเสื้อหลากสีในนามแมงกำเบ้อของฝ่ายคำเมืองโบกปีกวิบวิบวับวับขับย้ำบรรยากาศ ให้เป็นลำนำพิศวงอยู่รอบๆหัวโม่งอันโตใหญ่ของมัน แลละม้ายคล้ายมันกำลังเซอร์ไพรส์ (ประหลาดใจ) บนความไม่รู้ (อินโนเซนต์) ของมันเอง
ฟองมัน ธนะภูมิแม้ปีนี้ยังไม่ 30 แต่พื้นฐานการศึกษา มาจากปริ้นซ์ รอยล์ วิทยาลัยในเวียงเชียงใหม่โรงเรียนโปรแตสแตนท์อายุเกิน 100 ปีแห่งนั้นเมื่อยังเล็กออกจากสันทรายไปใช้ชีวิตอยู่กับอุ๊ยหนาน_ตาและแม่อุ๊ย_ยายที่เมืองพร้าวดินแดนแห่งพระอริยะเจ้า หลวงปู่แหวน สุจิณโณ รูปนั้นเขาเฝ้าซึมซับวิถีชาวบ้าน_folkways กับหมู่เปื้อน_เพื่อนวัยเยาว์เยาวชนท้องถิ่น ได้สังเกตความงดงามแห่งวัน_เวลาใน ยุคที่ผู้คนทั้งหลายซึ่งไม่ใช่เฉพาะเพียงแต่ชาวไร่ชาวนายังคงหอบเสื่อหิ้วหมอนไปค้างคืนถือศีลกันในวัดทุกวันพระ
..
บรรทัดนี้ได้กลิ่นความหอมของไม้ไร่ ฟางข้าวและสุคนธศีลหอมจรรยา ลอยออกมาจากตัวอักษรอย่างงดงาม
จนเมื่อเจริญวัยกลับเข้ามาในเมือง โรงเรียนคริสต์ก็บ่มวัฒนธรรมหลากหลายให้ได้เข้าใจลึกซึ้ง ฟองมันพบว่าบางเรื่องราวของวันพิพากษาฝ่ายคริสต์ ช่างคล้ายกลึงนักกับไตรภูมิกถาฝ่ายพุทธล้านนาทุกๆครั้งที่ยังให้เกิดความประทับใจสั่นไหวต่อสถานการณ์ที่มากระทบใจ ฟองมันตั้งใจแสดงออกโดยการวาดความรู้สึกยามนั้นลงบนอะไรซักอย่างตั้งแต่เด็ก-ใช่ : An art is an experience itself!
ตัวมอมเป็นสัตว์ในจินตนาการมีลักษณาการประหลาดพิลึกอยู่ ตาจะโปนโตออกมาหน้าตาดูตลกคล้ายแมวหรือกิเลนไปจนแม้กระทั่งคล้ายลิง ตามตำนานแล้วครั้งเมื่อสมัยพุทธกาลแคว้นโกศลเกิดภัยแล้งหนัก พระปัชชุนนะเป็นเทพแห่งฝน ทนคำรบเร้าเว้าวอนของชาวบ้านมิได้ ก็เสด็จประทับตัวมอมเทพพาหนะลงมาโปรดให้ฝน
ตัวมอมเองก็เป็นวรรณะเทพบุตรอยู่ แต่เมื่อแลเห็นความสิ้นไร้ของชาวบ้านต้องกราบการไหว้วานขอ แกก็นึกลำพองใจ_หมิ่นหยามและรังเกียจหยันเหยียดดูถูกเขา อารมณ์กิเลสชนิดนี้ทำเอาแกกลับขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ท่านผู้เป็นนายจึงให้เฝ้าศาสนสถานสำนึกบาปไป ซึ่งมีประโยชน์สองสถานคือได้ทำงานเป็นยามเฝ้าด้วยและได้มีโอกาสฟังธรรมพระสงฆ์เขาเทศนากันในวัดด้วย_เอ้_ยังกับพวกกากอยส์ปีศาจรางน้ำประจำโบสถ์วิหารในปารีส
ครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล ท่านเล่าว่าแต่ก่อนวัดทางเหนือจะแกะสลักตัวมอมขนาดเล็กถึงขนาดแมวลงรักทาชาดใช้ทำพิธีแห่ขอฝนอย่างที่ภาคกลางแห่นางแมว เพราะมอมเป็นเทพพาหนะของเจ้าแห่งฝน มีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์! บางคราวผู้คนไปเที่ยววัดแล้วเห็นตัวอะไรบางอย่างคล้ายมอมกำลังกินหรือกำลังคายพญานาคอยู่ในปาก อันนั้นก็คือตัวเหรา ซึ่งตามตำราแล้วทำหน้าที่เป็นตัวสำรอกในทางศิลปะ ซึ่งใช้เรียกศิลปะกรรมตัวอะไรๆที่คายตัวอะไรต่อมิอะไรออกมาอีกที
ตำนานสำนวนหนึ่งเล่าว่ากลุ่มเมืองโบราณทางเหนือ เช่น โยนกนาคพันธ์สิงหนวัตินครนั้นประชาชนเป็นวงศ์วานบริสุทธิ์แท้ฝ่ายพญานาค กลับถูกการเมืองจากพวกพม่า พุกาม จากอาณาจักรพะยู เข้ารุกรานครอบงำ ศิลปะกรรมซึ่งแสดงความหลุดพ้นจากอำนาจเถื่อนนี้ก็คือว่าเมื่อถึงเวลาปลดแอกออกจากพะยูผู้ซึ่งถูกตีความว่าเปนชาติเชื้อผสมระหว่างนาคและจระเข้ (จึงแสดงออกด้วยตัวเหรา)จำจะต้องทนไม่ไหว จำต้องคายพญานาคออกมา ถือเป็นเวลาสิ้นทุกข์ จบกันทียุคเข็ญที่เขาเข้ามาเป็นเจ้าเข้าครอง คอยจ้องบังคับขับไสเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไปตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
ถ้าจะพูดกันให้สนุกปากก็คือว่าลองตามไปดูกันที่วัดปงสนุก เหราแกงับนาคอยู่บนที่สูงคือประดับชายคาหน้าบันพระวิหาร พญานาคก็ดูจะอหิงสาไม่ว่าอะไรจะอมก็อมจะคายก็คาย ไม่ว่าไร ส่วนถัดมาที่วัดพระธาตุจอมทองเหราพยายามงาบนาคลงต่ำ ตรงทางขึ้นพระวิหาร จุดนี้ยังแลเห็นขาเล็กๆตลกผิดสัดส่วนของมัน นาคคงว่านี่อุตส่าห์ลงมาต่ำแล้วยังจะงาบอีกหรือ? 55
ข้างที่วัดบุปผารามพญานาคคงชักรำคาญแผ่พังพานสามเศียรจากนาคธรรมดากลายเป็นว่าพญานาค เหราชักปากจะเริ่มฉีกเลยไปตามญาติตัวที่สองมาช่วยงับ ถัดมาตามไปดูแห่งที่สี่ตรงพระธาตุลำปางหลวงแผ่เพิ่มเป็นห้าเศียรสำแดงฤทธี เหรานี้ก็เริ่มสำลักหายใจไม่ออก จนไปปิดคดีกันที่พระพุทธบาทสี่รอย ระมิงคนคร (แม่ริม) ระหว่างที่มอมชักรู้ตัวว่ามิอาจจะต่อกรกับพญานาคา ท่านผู้ศักยภาพสูงกว่าก็แผ่พังพานออกเปนเจ็ดเศียร สัตตนาตราชสำแดงองค์ขยายขนาดพิฆาตตัวมอมตายคาปากตัวมันเองจากรูปจะเห็นแม่จระเข้มายืนลุ้นลูกอยู่ใกล้ๆ (จริงๆมาแต่ที่บุปพารามแล้ว55)
ฟองมันนับถือในผลงานของรุ่นพี่อย่างทนงศักดิ์ ปากหวาน ศิลปินทุนสิงห์ชาวเชียงรายและ ลิปิกร มาแจ้ง ในแง่ที่ว่าทั้งสองสามารถหยิบเอาอุดมคติเก่าที่เราลืมมาพูดใหม่ได้อย่างน่าสนใจมีความร่วมสมัยที่แสดงออกผ่านความบริสุทธิ์ในความรู้สึกของศิลปิน
ส่วนรุ่นใหม่กว่านั้นรู้สึกดีกับงานของ เมย์ กุลนิภา เพราะว่าเป็นงานที่มีเอกลักษณ์และเห็นพัฒนาการของการเดินทางในเส้นทางสายศิลปะของศิลปินอย่างชัดเจน
พอถามถึงว่ามหาวิทยาลัยศิลปะและชีวิตศิลปินได้ให้อะไรแก่ฟองมันตลอดระยะเวลาหลายปีที่บ่มเพาะฝีมือมา เขาตอบโดยไม่ลังเลว่า “ได้รู้จักตนเองมากขึ้นรู้ว่าตัวเราคือใคร มีรากเหง้าความเป็นมาอย่างไร”
ก็นึกชอบใจในคำตอบเพราะยอดนักเขียนอย่าง มาร์ค ทเวน เคยเอ่ยคำคมทิ้งไว้ก่อนตายว่า“There are 2 most important days in your life: the day you were born & the day you know why.”!!
แนวทางของฟองมันจะเป็นอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามในระยะยาว พักนี้ยามเมื่อเกิดเหตุพิบัติภัยแผ่นดินไหวมันก็ไม่ใช่แค่ว่าตึกถล่ม สตง. หากแผ่นดินไหวนั่นมันยังไหวในใจคนไปด้วย ศิลปินอย่างฟองมันยามนี้รู้สึกว่ามันกระทบใจเลยสร้างงานในสีขรึมบ่งบอกความอึดอัดในโศกนาฏกรรมร่วม (tragedy of common) ที่มนุษย์ชาติต้องประสบ
ภาพนี้คนตาดีแลเห็นดาวเทียมธีออสจำลองแทรกบทบาทอยู่ดาวเทียมไทยดวงนี้มันถูกใช้งานเพื่อประโยชน์นานาประการของชาติโดยเฉพาะเรื่องการสำรวจทรัพยากรแล้วก็บ่งบอกภัยพิบัติ
สายตาละเอียดของธนะภูมิสะท้อนถึงภัยพิบัติในโลกมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำๆเป็นประจำอยู่ทั่วไป ดังที่บรรพชนเขียนทิ้งไว้ให้ในไตรภูมิกถา แต่ถ้าว่ามันอาจจะมีสายตาคู่นึงมองมาจากนอกโลกและเห็นถึงเภทภัย ต่างๆทั้งน้ำท่วมฝุ่นละอองพีเอ็ม ไฟป่า
อันนี้หน่วยงานเจ้าภาพดาวเทียมไทยควรต้องให้การสนับสนุนศิลปินไทยผู้พาให้โลกของวิทยาศาสตร์ทันสมัยสามารถเชื่อมโยงเข้าไปกับความงดงามของแผ่นดินในทางศิลปะได้ จะนำประดับไว้ที่อุทยานรังสรรค์ นวัตกรรม อวกาศ ศรีราชาก็ไม่เลว หรือสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่โดยก็ใช้ทำหน้าปก รายงานประจำปีก็ยิ่งเหมาะ