ผีม้าบ้อง

04 พ.ค. 2568 | 03:30 น.

ผีม้าบ้อง คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • ผีม้าบ้องเกิดจากความล้มเหลวในการปลดปล่อยความใคร่หรือความรัก เช่น ชายที่ไม่สมหวังในความรัก หรือหลงในอวิชชา ใช้วิชาปลุกผีผิดจารีต จนกลายเป็นอสุรกายครึ่งม้าครึ่งคน ที่ออกมาไล่ทำร้ายหนุ่มๆ ผู้มีความหวังในการ "แอ่วสาว" สื่อถึงแรงดึงดูดทางเพศและแรงกดดันจากจารีตดั้งเดิม
  • เรื่องเล่าอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อข่มขู่ไม่ให้เด็กหนุ่มเที่ยวดึกลำพัง ป้องกันอันตรายหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางเพศ โดยใช้ผีม้าบ้องเป็นตัวแทนของอันตรายทางสังคม เช่น ความอิจฉา หึงหวง หรือแม้กระทั่งเจ้าถิ่นที่ไม่พอใจผู้มาแย่งสาว

วิถีและวิธีปรากฏตัวของผ้าม้าบ้อง มันจะชอบมาตอนค่ำมืด คอยไล่กวดทำร้ายไอ้หนุ่มเมืองเหนือที่เที่ยวออกจากบ้านไป ‘แอ่วสาว’ ซึ่งเปนวิถีจารีตการสร้างความสัมพันธ์และถักทอสายใยแห่งความรักและการก่อร่างสร้างครอบครัวในวัฒนธรรมร่ายป่าราวดอยแห่งปวงหมู่เขา คำว่า แอ่ว นี้ก็คือ ไปเที่ยว ถ้าว่า แอ่วหา ก็คือ ไปเที่ยวหา_ไปเยี่ยมหา

ยามเมื่อคนเราถึงวัยฮอร์โมนเจริญพันธุ์พลุ่งพล่าน ทั้งชายหญิงจิตใจมันก็ร้อนๆรุ่มๆพอๆกัน_หนาวสะเทื้อนอยู่ในยอดอก แต่หวามหวิววิบๆอยู่ในยอดใจ

วัฒนธรรมฝ่ายเหนือเปิดโอกาสให้คนหนุ่มออกจากบ้านยามค่ำหลังเสร็จงานไร่งานนา อาบน้ำแต่งตัวให้สวยงาม หอมสะอาดดี ทีนี้ก็ฝ่าความมืดมนอนธกาล เดินลัดเลาะข้ามดงข้ามดอยไปหาสาวยังบ้านหมู่อื่น

โดยความมืดเย็นเปล่าเปลี่ยวน่าหวั่นไหวบนเส้นทางจะไปนั้น ย่อมจะมลายหายไปสิ้นเพราะแรงจิตพิศวาสปรารถนาในตัวสาวที่หมายปองไว้ ณ ปลายทาง มันจะกดประสาทความกลัวไว้ได้หมด ยอมเขาทุกท่าเพื่อให้ได้สมปรารถนาตามสัญชาตญาณลึกเร้นแห่งร่างกายและปลายประสาท

ในยามเมื่อไปถึงเรือนสาวที่หมายปองนั้น พ่อแม่สาว เขาก็จะหลบเลี่ยงไปจากเรือน เพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบกันที่ ‘เติ๋น’ ซึ่งอันว่าตามคติความเชื่อของคนล้านนานั้น เรือนล้านนาจะแบ่งบริเวณบ้านออกเปน “ส่วนใน” ซึ่งเป็นที่หวงห้ามเฉพาะ_เป็นส่วนตัว (Private Area) ของสมาชิกในครอบครัว ส่วน พื้นที่ “ส่วนนอก” สำหรับบุคคลทั่วไปจะขึ้นไปเยี่ยมเยือนพบหาก็สามารถเข้าไปได้แค่ชานเรือนเท่านั้น

 

ผีม้าบ้อง

 

“เติ๋น“ นี้ เปนจุดเชื่อมต่อกับชานด้านหน้าของตัวเรือน โดยยกพื้นสูงขึ้นจากระดับพื้นชานหน่อยนึงให้พอนั่งพักเท้าได้ เป็นพื้นที่กึ่งอเนกประสงค์มีผนังปิดเพียงด้านที่ติดกับห้องนอนนอกนั้นเปิดโล่ง ตอนกลางวัน ที่เติ๋นนี่ใช้นั่งจักสาน นั่งเล่น รวมถึงใช้เป็นที่รับแขก บริเวณฝาเรือนด้านตะวันออกมีหิ้งพระสำหรับสักการะบูชา ชายหนุ่มมาแอ่วหาสาวก็จะมาพูดคุย ‘เกี้ยว’ กันที่ตรงเติ๋น-(ขอบพระคุณภาพประกอบอารมณ์ขันรูปเติ๋น จากศิลปินแห่งชาติ-ยอดเยี่ยม เทพทรานนท์)

หากว่าสาวเจ้าเขามีท่าทีด้วยก็จะหยิบยื่นไมตรีให้กับอ้ายหนุ่ม (ซึ่งหลายคราวอาจมีอายุน้อยกว่าตัวเอง) ด้วยการชวนกินหมากกินเมี่ยง หากว่าถูกใจปอง ก็จะเตรียมบุหรี่อย่างดีที่ปรุงเองมวนเองเอาไว้ให้ในครั้งหน้า แต่ถ้าหากว่าเห็นหน้าอ้ายหนุ่มแล้วไม่พึงใจ ก็ใช้วิธีเชิญกลับแบบอ้อมๆ เช่น บอกว่าจะนอนแล้ว เดินหนีเข้าบ้าน ฯลฯ

กระบวนการทางสังคมชนิดนี้เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายหญิงชายสามารถเลือกบุคคลที่พึงใจปรารถนาได้ด้วยกันทั้งหมด หมายความว่าฝ่ายชายก็มีโอกาสไปแอ่วสาวหลายบ้าน ฝ่ายหญิงอยู่ที่บ้านไม่ชอบใจใครก็ไม่ต้อนรับชอบใจใครก็เปิดบ้านใหม่ ทำให้ตัดปัญหาเรื่องความทุกข์ในชีวิตสมรสจากการคลุมถุงชนไปได้มาก

อีทีนี้เวลาออกไปหาแอ่วสาวนั้น หนุ่มๆในหมู่บ้านที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่เรียกกันว่าเสี่ยว-เกลอ ก็มักจะออกไปพร้อมกัน อีตรงนี้แหละ คือจุดกำเนิดของผีม้าบ้อง ตามวัฒนธรรมของฝ่ายเหนือฝ่ายอีสาณนั้นผู้ที่เกิดมาในปีเดียวกันก็ถือกันว่าต้องเป็นเพื่อนกันยิ่งกว่าเพื่อนปกติ เราใช้คำนี้ว่าเสี่ยว ซึ่งจะมีพิธีกรรมแต่งตั้งกันให้เป็นเสี่ยวเรียกว่าผูกเสี่ยว ให้เปนมิตรแท้เปนเพื่อนตายแก่กัน อันเป็นวิถีชีวิตที่งดงามในวัฒนธรรมเกษตรแบบปฐมภูมิ ที่ล้วนมีภยันตรายต่างๆล้อมรอบตัวไปหมดทั้ง ภัยธรรมชาติ, ภัยจากสัตว์ร้าย, ภัยศัตรูพืช, ภัยจากคนด้วยกัน ต่อเมื่อคนสองคนสามคนกลายเป็นเสี่ยวกันแล้วก็ย่อมจะผนึกกำลังกันช่วยเหลือร่วมมือที่จะฝ่าฟันภยันตรายต่างๆออกไปได้โดยสวัสดีภาพ อนึ่งว่าผู้ที่เกิดร่วมปีเดียวกันนี้ในราชสำนักหรือในทางภาคกลางใช้คำไพเราะตามวัฒนธรรมแห่งตนว่า - สหชาติ

อีทีนี้เสี่ยวสหชาติของเราก็มักหาอยู่หากิน หาเรียนหนังสือวิชาต่างๆด้วยกันอย่างว่าคู่หู ในกรณีผีม้าบ้องของเรานี้ ก็เกิดขึ้นมาจากเสี่ยว ครั้งนั้นมีเสี่ยวมิตรคู่หนึ่ง มาฝากตัวเรียนวิชาการจากครูบาพระสงฆ์องค์เฒ่า

ท่านได้ให้ทั้งสองคนเลือกว่ามีอยู่สองวิชาที่จะสามารถสอนได้หนึ่งก็คือวิชาปัด(รังควาญ)_แหก_แก้สองก็คือวิชาปลุกผีปลุกพรายมาช่วยงานให้เลือกเอาว่าใครจะเรียนวิชาอะไร เสี่ยวคนหนึ่งเลือกเรียนวิชาปลุกผี อีกคนหนึ่งเลือกเรียนวิชาแก้

ท่านสมภารครูบาก็ถ่ายทอดให้หมด โดยมีข้อแม้ว่าวิชาทั้งหลายนี้ห้ามนำไปใช้ในทางที่ผิดมิเช่นนั้นของลึกลับจะเข้าตัว ซึ่งเมื่อเข้าแล้วจะแก้ไขไม่ได้อยู่มาวันหนึ่งเสี่ยวทั้งสองถูกรังแกจากผู้มีอำนาจเหนือ ซึ่งถือเปนภยันตราย ประเภทหนึ่ง เสี่ยวที่เรียนวิชาปลุกผีขาดสติได้ใช้วิชาปลุกผีเรียกพรายไปทำลายฝ่ายตรงข้ามจนถึงแก่ชีวิต อันถือเปนการกระทำที่เกินกว่าเหตุ แต่ก็อุบไว้มิได้บอกกล่าวให้ผู้ใดทราบ

 

ผีม้าบ้อง

 

ถึงเวลาออกไปเที่ยวสาวกันเมื่อไปถึงกลางทางเสี่ยวปลุกผีจะต้องขอแวะพักหลบเข้าไปในป่าข้างทางเสมอ ขากลับก็ทำเช่นนี้ เสี่ยววิชาแหกแก้ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้จนไปแอบตามดูในครั้งหนึ่งพบว่าเพื่อนหลบเข้าป่าข้างทางนั้นเป็นป่าร้างป่าช้าหรือที่เรียกกันว่าป่าเห้ว เห็นศพมาใหม่ใหม่หรือเห็นซากสัตว์วัวควายเขามาทิ้งก็ใช้ลิ้นเลียกินของเน่าเหล่านั้น อย่างเอร็ดปาก ด้วยความตกใจ จึงรีบกลับมาหาครูคือท่านสมภารชราเล่าความเป็นมาที่ได้ค้นพบให้ฟัง

ท่านจึงว่า ลำบากเสียแล้วแสดงว่าทำการบางอย่างผิดของผิดครู ของเข้าตัวไปกลายเป็นผีกะ ซึ่งการมีจิตปรารถนาอยู่แต่ในของสดคาวเน่าเหม็น ก็เปนด้วยกำลังผีพรายที่ตนเองปลุกได้มาย้อนเข้าตัวทำตัวเองกลายเปนผีไปด้วย! ท่านจึงสอนว่าไปแอ่วสาวรอบนี้ให้นำไข่ไก่ติดตัวไปเยอะหน่อย

เมื่อถึงจุดอันตรายพรายผีเข้าเพื่อนครบทั้งตัวเพื่อนจะกลายร่างเป็นผีม้าวิ่งไล่ก็ให้ปาไข่ลงพื้นเมื่อไข่แตกเป็นของสดคาวผีนั้นจะพะวักพะวงกินของโปรดเน่า ทำให้เรารอดวิ่งหนีทัน ระหว่างนั้นให้เอา หางปลากระเบนอาคมฟาดใส่ด้วยเพื่อลดกำลังผี เมืองเหนือเรียกหางปลาไม

จนเมื่อถึงบ้านให้ชักกระไดหนีกลับหัวบันไดลง ผีม้าจะงุนงงสับสนตามขึ้นบ้านไม่ได้ อีทีนี้ลักษณะกำลังจิตของคนที่ลุ่มหลงในอวิชชา เมื่อถึงเวลารู้ว่าเพื่อนจับได้ว่าเปนผี ความทั้งโกรธทั้งอายก็ปรากฏ เมื่อจิตนึกถึงว่าจะวิ่งไล่เพื่อน วิญญาณผีม้าที่ว่าเปนสัตว์วิ่งไวก็มาเข้ามาสู่ (ก็เรียนวิชาเรียกผีเรียกพรายเอาไว้นี่) เพราะการไล่กวดกันจิตที่กระหวัดไวคิดไปถึง มันเรียกหาเอาของที่วิ่งได้ไวมาซึ่งมันจะมีอะไรไวไปกว่าม้า

แต่ทว่าความครึ่งๆกลางๆของวิชามันมี ก็เลยเป็นม้าแต่ตรงจังหวะวิ่งช่วงล่างสี่ขา ส่วนตัวบนนั้นยังเป็นร่างกายแห่งตนอยู่ เกิดเป็นปีศาจอสุรกายที่มีจิตประสาทวุ่นวายอยู่แต่กับการวิ่งไล่เพื่อนที่ประสบความสำเร็จในการไปแอ่วสาวในขณะที่ตัวตนเองนั้นไม่ได้สาวมาแนบใจอย่างเสี่ยว มีแต่ความอัดอั้นตันใจ กวดไล่เพื่อนโดยอิจฉาหนึ่งส่วน โดยโกรธาที่เสียลับว่าตนเปนผีไปแล้วอีกหนึ่งส่วน โดยความโมหะหลงในอวิชชาที่ตนเองชื่นชอบอีกส่วน

ในขณะที่อีกสำนวนหนึ่งของกรณีผีม้าบ้องก็เป็นที่เล่าขานกันว่าชายใดในหมู่บ้านมุ่งแต่ทำงานสร้างฐานะไม่ได้ข้องแวะกับอิสตรีใดเลยตายไปก็เป็นผีม้าบ้องเช่นกัน ลักษณะร่วมของทั้งสองสำนวนนี้ก็คือว่า มันเปนผีอัดอั้นด้วยกันทั้งคู่ ดึกๆจะชอบออกมาคอยวิ่งห้อตะบึงไปไล่ความเครียด พอเจอพวกหนุ่มๆที่ออกมาแอ่วสาวยามค่ำมืด ก็จะเตะทำร้าย

อีนี้ว่าผีม้าบ้อง นี่มันบ้องอะไร? รึว่าอะไรมันบ้อง? ก็ต้องตอบเฉลยว่าเครื่องเพศของมันนั่นเองที่บวมบ้องเด่งเด่ ซึ่งเป็นศัพท์ภาษาเหนือที่พิจารณาแล้วก็น่าขำอยู่ในที เพราะแรงกดดันทางเพศของผีนี้นั้นมันเกิดขึ้นระหว่างไปเที่ยวแอ่วสาวแล้วยังไม่สำเร็จผล สภาวะแห่งความกำหนัดมันก็ค้างคาเป็นบ้องอยู่อย่างนั้น เกิดความละล้าละลัง จะไปชำระบ้องก็ไม่ได้ กังวลว่าเพื่อนรู้ความลับเสียแล้วว่าตนเปนอสุรกายผี จะกลับไปหาสาวแอ่วก็ไม่ไหวตัวออกจากบ้านมาหอมสะอาดดีก็บัดนี้คลุกน้ำเลือดน้ำเหลืองซากศพซากสัตว์ ไม่มีหน้าจะไปจีบใคร พอๆกันกับหนุ่มเทื้อชรา(ภาษาเมืองเรียก บ่าวเฒ่า) ที่มัวแสวงหาแต่ทรัพย์ไว้แก่ตน ลืมแสวงสุขทางโลกียภาพ ตายลงก็หมดเวลาจะส้องเสพกามราคะ มีแต่ความอั้นอัดคับข้องใจ แกมเสียดาย จำจะต้องระเบิดความอั้นอัดนั้นออกมาเปนม้าเผ่นโผน เกรี้ยวกราด โกญจนาท แบกบ้อง_ร้องแรก แหกกระเชิงฟ้องบอกชาวบ้าน

 

ผีม้าบ้อง

 

อีทีนี้ ก็อีกแหละ อนึ่งว่าในทางคติชนวิทยาผีม้าบ้องมันไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นเฉยๆมันจะคอยไล่กวดพวกเด็กไอ้หนุ่มโดยเฉพาะ ซึ่งภาษาเมืองเรียกกันว่า ‘บ่าวแถ่ว’ ซึ่งหมายความว่าเด็กหนุ่มกำดัดซุกซนอายุยังไม่มากประสบการณ์ยังไม่มี ออกไปเที่ยวแอ่วสาวตามแรงฮอร์โมนยิ้มย่อง ยามค่ำๆมืดๆ

ผีมาบ้องจะโผล่มาไล่กวดเพื่อไปทำร้ายโดยเตะลูกกระโปกของเด็กแถ่วถ้าหมั่นไส้มากหน่อยก็หันหลังแล้วใช้ขาหลังทั้งคู่ดีดใส่อวัยวะสำคัญนั้นให้ด้าวดิ้นไป ซึ่งอาจเป็นด้วยแรงอิจฉาแห่งมันก็เป็นไปได้ ทำเอาถึงเจ็บถึงตาย ให้เป็นที่หวาดหวั่น

ผีม้าบ้องอาจมีอยู่ไม่จริงก็ได้ อาจเป็นนิทานเพื่อใช้กำกับดูแลพฤติกรรมของหนุ่มวัยคะนองในทางสังคมก็เป็นไปได้ หรืออาจเปนตัวเเทน ของไอ้หนุ่มประจำถิ่น(เจ้าถิ่น) ที่มีความหึงหวงในสาวประจำหมู่บ้าน ออกมาดักทำร้ายตามประสาหึงหวง

จึงมีคำบอกว่าบ่าวแถ่วทั้งหลายประเภทว่าไรหนวดเพิ่งขึ้นนั้นท่านไม่ให้ไปแอ่วสาวลำพังให้ไปกับคนที่โตกว่ามีประสบการณ์มากกว่าเพื่อจะรับมือกับผีม้าบ้องกลางทางได้ รึมิเช่นนั้นก็ให้เรียนรู้สรรพวิชา โตขึ้นมาสักหน่อยค่อยออกไปซ่าตามวิถีวัยรุ่นพลุ่งพล่าน

คาถาทั่วไปสำหรับไล่ผีม้าบ้องท่านว่าให้อ้างเอา “นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ ภะ กะ สะ จะ” เสียก่อน ต่อด้วยคำเจรจาปีศาจ :

สัพเพทวาปีสาเจวะ

อาฬะวะกาทะโยปิยะ

ขัคคัง ตาละปัตตัง

ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ

ถ้ายังไม่ไป ให้ต่อด้วยคำอาราธนาเทพศาสตราวุธ :

สักกัสสะ วะชิราวุธัง

เวสสุวัณณัสสะ คะธาวุธัง

อะฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง

ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง

อิเมทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ

สรุปได้ว่า ผีม้าบ้องนี้จะชอบกินของดิบคาวเลือด ซากสัตว์ เปนผีชนิดที่มักจะไม่มีใครพบเห็น ได้ยินเเต่เสียงควบวิ่งชนรั้วไม้ เพราะช่วงเวลากลางคืนชาวบ้านล้านนามักปิดบ้านเงียบไม่ออกไปไหน

ถ้าบ้านใครเกิดลูก มีหมอตำแยมาทำคลอดให้ แล้วล้างคาวเลือดเด็กลงใต้ถุนบ้านก็จะเห็นผีม้าบ้องมาเลียกินคาวเลือดทารก ถ้าผีม้าบ้องมาในร่างคนก็จะใช้มือกวาดคาวเลือดแล้วเลียกิน แต่ถ้าอยู่ในร่างม้าก็จะใช้ลิ้นเลียกินคาวเลือดที่ตกลงไปใต้ถุนบ้านนั้น ช่วงราวปี 2520 มีบันทึกการพบเห็นผีม้าบ้องที่ ตำบลแม่นาวาง อำเภอแม่อาย เป็นรูปร่างคนแต่ทำท่าเหมือนม้า มือประสานท้ายทอย เอาศอกแนบหู บางทีชูสองนิ้วทั้งสองข้าง เอาแนบไว้ข้างหัว วิ่งไปวิ่งมา เปร่งเสียงร้องออกมาเหมือนม้าแล้วก็กลิ้งคลุกฝุ่นไปมา หลังจากนั้นมาบ้านเมืองเจริญศิวิไลซ์ก็ไม่เคยมีใครเห็นอีกเลยนอกจากได้ยินแต่เสียง

ทีนี้ก็มาถึงกรณีต้นวงศ์ผีม้าบ้องบ้าง นั่นก็คือผีกะ ซึ่งบางทีสะกด ผีกละ ด้วยเหตุว่ามีความตะกละชอบนักเรื่องของเซ่นของกิน ต้องจ้วงกินลิ้นแผล่บกันมูมๆมามๆ

คนล้านนาโบราณกลุ่มหนึ่ง ที่ยังนับถือผีสางอยู่ในวัฒนธรรม จะเลี้ยงผีกะเอาไว้ในบ้านโดยใส่ไว้ในหม้อวางไว้ที่สูง เซ่นวักด้วยของสดคาว มุขปาฐะ ที่โจษขานกันมายาวนาน คือ ว่า แม่หญิงล้านนาคนใดที่ว่าหน้าตาสะสวยงามปะล้ำปะเหลือนั้นเขามักจะต้องเลี้ยงผีกะ โดยที่ถึงแม้ว่าผีกะนี่จะมีหลายลักษณะ แต่ถ้าว่าเพื่อความสวยงามแล้วไซร้ มันจะมีกลุ่มหนึ่งที่ตัวเหมือนลิงเล็กๆสีดำๆ ซึ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น คนมีตาที่สามถึงจะมองเห็น ว่ามันจะเกาะบ่าคนเลี้ยงอยู่

 

ผีม้าบ้อง

 

หน้าที่ของมันคือคอยใช้ลิ้นยาวๆเฝ้าคอยเลียหน้า แม่สาวเจ้าของให้ผุดผ่องเป็นยองใยอยู่เป็นระยะๆ_บรื้อว์

ทำให้ปวงเราทั้งสาวหนุ่มต้องมนต์ ..เป่าหัวใจ เสียจนก่นให้ใฝ่ฝัน…55

ภาพนี้ศิลปิน วีระศักดิ์ สัสดี มหาบัณฑิตจากศิลปากร ชาวเวียงหนองล่อง รังสรรค์ ภาพสีน้ำมัน ‘ตระกูลผีกะ’ เอาไว้อย่างน่าสนใจ เปนรูปแม่ญิงสวยสะ นั่งชันขาแบบว่า (มหา)ราชลีลา บนตอไม้สัก ที่หัวไหล่มีผีลิงดำตัวเล็กเกาะอยู่อย่างภักดี ให้ผู้ชมภาพจินตนาการไปไกลถึงวันไหนก็ตามที่ลิงผีนี้จะเอาลิ้นเรียวสากน้ำลายลากเลียใบหน้าให้ท่านเจ้าของได้คงความผุดผ่องยองใยใสกิ๊ก!!

เมื่อเช้านี้นั่งโต๊ะเริ่มเขียนเรื่องผีม้าบ้อง ก็มีเหตุให้ต้องวิ่งไปร้านไทวัสดุ ตรงแจ้งวัฒนะเพื่อปรู๊ฟ_แอพปรู๊ฟปลั๊กไฟทึ่จะใช้ติดห้องสมุดหลังใหม่ ระหว่างรอจ่ายสตางค์ก็ให้เจอคนหนุ่มท่าทางชอบกลใส่เสื้อดำกางเกงดำตามประสาวัยรุ่นมาต่อคิว หน้าตาท่าทางแกเปนหนุ่มเมืองเหนือแหละแน่นอนผิวขาวรูปร่างท่าทางสะโอดสะองแต่ค่อนจะเตี้ย แปลกที่คอ ซึ่งแบกศีรษะอันหล่อเหลาของเขานั้น ยาวผิดส่วนและความหนาแห่งคอนั้นอ้วนล่ำผิดปกติจากสัดส่วนร่างกายที่แบบบาง ชั่ววูบนั้นทำให้ระลึกว่า เอ้อ เขียนเรื่องม้าผีเสียจนมองคอคนเปนคอม้ากันละเหวย

กลับมาถึงโต๊ะเขียนก็ตะหงิดในใจว่าฝ่ายชายเมืองเหนือจะเลี้ยงผีแบบนี้กันบ้างไหม ไปรื้อค้นงานวิจัยระดับมหาบัณฑิตของ ศุภลักษณ์ ปัญโญ แห่ง บัณฑิตวิทยาลัย มหา‘ลัยเชียงใหม่มาดู

พลิกไปเรื่อยๆ จนถึงหน้า 220 ก็พบว่า คนผู้ชายฝ่ายเหนือก็เลี้ยงผีกะ!! โดยเฉพาะผีม้าบ้อง คอยทำหน้าที่… ‘ส่งเจ้าของ ๆ มันไปเที่ยวหาสาว คือมันจะให้เจ้านายของมันขี่ไปถึงบ้านของสาวก่อนผู้ชายคนอื่นๆ ’

“..เวลาพูดคุยกับสาว มันก็จะเลียหน้าเลียตาเจ้าของให้ดูยิ่งหล่อยิ่งงาม…”!?!

ถ้าว่าคำอุทานสมัยนี้ก็ต้องว่า “..ห้ะ!?..” นี่จะเลียหน้ากันหมดทั้งชายหญิงเลยเหรอผีพลางขยายความต่อว่า

“..เวลากลับ ผีกะก็จะกลายเป็นผีม้าบ้องวิ่งกลับบ้าน บางครั้งก็จะคอยเฝ้าบ้านช่องให้ โดย มันจะแสดงตัวเป็นคนเดินไปเดินมา นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ไม่ให้โจรขโมยเข้ามาลักข้าวของ” - บร้ะ!

รูปนี้ยอดศิลปินคิวบิสม์เมืองไทย เดเมียน ณัฐธวัช วาดสีน้ำมันไว้ให้ สวยงามดี แกปิดทองที่ตำแหน่งอานม้าเสียด้วย ให้ชื่อว่า “ม้านอานทอง” ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวกับผีม้าบ้องตามต้นเรื่อง แต่อาจตีความเปนความงามของคนหนุ่มที่สวยแบบม้าบ้างก็ได้

เพราะคนเปนศิลปินนั้นจะต้องสูงกว่าคนทั่วไปในแง่ความรู้สึก ต้องกลั่นกรองความรู้สึกมาใส่ในงาน ให้คนเสพงานไหวสะท้านได้ ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้ก็ความงามโดยพิสุทธิ์รังสรรค์ย่อมบังเกิด โดยไม่ต้องรอให้ทั้งผีลิงผีม้ามาคอยแลบลิ้นโลมเลียให้เสียประสาท_อึ๋ยยย..