KEY
POINTS
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในตลาดเฉพาะ (niche) ไม่ใช่แค่ขายเรื่อง “ยั่งยืน” แต่ต้องใส่ใจใน “คุณภาพ” ด้วย อีกทั้งต้องมีวิสัยทัศน์ชัดเจน เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทีมงานกับลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทีนี้ลองแวะมาดูคำสำคัญ หรือ key words ในวิถีผู้ประกอบการกันบ้าง โมโนเคิลเสนอว่า การประกอบการเพื่อ (คุณภาพ) ชีวิตที่ดีกว่านั้น มันจะดีกว่าได้โดยการโฟกัส ไปในคำถาม 3 ประการที่รอคำตอบอยู่
ไอ้ที่ว่าจะประกอบการนั้น จริงๆคุณอยากจะทำอะไรกันแน่? (What you really want to do?)
- บางคนคิดแต่ว่าประกอบการแล้วได้เงิน อันนั้นงานรับจ้าง (employ) ก็ได้เงินเช่นกัน ต้องตั้งคำถามกับตัวเองให้ลึกซึ้ง_ว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่
ที่จริงแล้วคุณอยากเป็นอะไรกันแน่? (What do you really want to be?)
- เป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หลายคนบอกว่าอยากจะเป็นคนรวย ซึ่งการประกอบการนั้นแน่นอนว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่เปิดประตูสู่ความร่ำรวยได้ แต่ช่องทางอื่นๆก็มีเหมือนกัน แถมความเสี่ยงและภาระอาจน้อยกว่ามากด้วยซ้ำไป เป็นไปได้ไหมที่ความร่ำรวยเงินทอง อาจไม่ใช่ตัวตนที่คุณอยากจะเป็น? คุณอาจจะอยากเป็นอิสระชน ที่ควบคุมวิถีการใช้ชีวิตของคุณได้เอง?
คุณอยากทำงานกับใคร? (Who do you want to work with?)
- นี่เองคือสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นหมัดฮุก สำหสำหรับผู้ค้นหาตัวตนและค้นหาความหมายว่าทำไมจึงอยากประกอบการเอง แทนที่จะรับจ้าง : เพราะสามารถเลือกรับงานและเลือกปฏิเสธงานได้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เรื่องของการเลือกรับงานหรอก เป็นการเลือกรับลูกค้า เลือกรับเจ้านาย เลือกรับคู่ค้าได้ด้วยตัวเอง
สิ่งที่ผู้คนทั้งหลายเปนกังวลเวลาทำงาน และทำให้หลายคนถึงขั้นบ่นว่า ‘ไม่มีความสุขในการทำงาน’ หลายกรณีย่อมมาจากการไม่สามารถเลือกเจ้านายได้_ได้นายที่ดีก็ดีไป ได้นายที่เลวก็เลวไป เนื้องานจริงๆแล้วไม่ได้มีปัญหาเลยมีความสามารถเต็ม 100 ที่จะผลิตงานได้ แต่การต้องรับมือกับคน กับความคาดหวังของลูกค้าที่จุกจิก/ไร้เหตุผล/ไร้รสนิยม/ไร้ความเป็นมืออาชีพ ต้องทนทำอยู่ด้วยเหตุผลเดียวคือได้เงิน อย่างนี้คุณภาพชีวิตย่อมตกต่ำ เกิดเป็นกระแสนิยมเรื่อง ‘work-life balance’ ในยุคนี้
ที่ว่า ต้องมีเวลาว่างสำหรับตนเองด้วย ไม่ใช่ทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้วไม่ได้ไปเที่ยวไปพัก ไปดูแลครอบครัว เกร็ดบางเกร็ดจาก โมโนเคิลบอกกล่าวแก่สังคมอย่างน่าคิดน่าตริตรองว่า “งานเป็นสิ่งที่จะต้องทำทุกวัน -แล้วทำไมจะไม่สู้ทุกทางเพื่องานที่ชอบและไม่เบื่อที่จะทำ!!”
สั้น_กระชับ_คมบาด
หลายครั้งจะได้ยินข้าราชการพูดถึงเรื่องของการเกษียณอายุ ว่าเมื่อมาถึงวันนั้นชีวิตจะเป็นอิสระทำอะไรก็ได้โดยมีบำนาญรองรับ ในขณะที่ผู้ประกอบการแทบทุกคนไม่เคยคิดถึงวันเกษียณของตนเองเพราะนึกไม่ออกว่าจะเกษียณทำไม? ก็การทำงานของปวงเขาทุกวันนี้ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ซึ่งก็รู้สึกว่าสนุกสนาน(มีใจ)กับงานที่ทำ ซึ่งทำไปจนวันตายหรือไม่สามารถจะใช้ร่างกายใช้สมองก็ไม่รู้สึกว่าเบื่อ/ล้า/หมดกำลัง
อีทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญ เรื่องเงินโมโนเคิลตั้งคำถามว่า ตกลงแล้ว เป้าหมายของกิจการคือเงินเหรอ? และโมโนเคิลก็ตอบเองว่า ไม่ใช่. เป้าหมายกิจการแท้จริงแล้วก็เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับเราเองและทีมงาน ซึ่งแม้เขาจะไม่ได้เขียนละเอียดขยายความแต่เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งแยบคายลงไป ความมั่นคงอันนี้สมควรถูกตีความเผื่อไปถึงความมั่นคงทางอารมณ์ ทางอุดมการณ์ ทางวิถีชีวิต และทางคุณภาพชีวิตไปด้วย
“Don’t undervalue what you do!” ประโยคนี้โมโนเคิลให้กำลังใจโดยกลั่นจากประสบการณ์ว่าคนบางคนที่เฝ้าทำงานเล็กๆตามความถนัด/ความเชื่อมั่นของตน ไม่ควรจะดูถูกตนเองว่าไม่ประสบความสำเร็จ เส้นทางอาจยาวไกล ซึ่งหมั่นเดินไปก็ต้องถึง ลองดูตัวอย่างเพิ่มสักนิด
Mariposa, แคนาดา [ก่อตั้ง 2014 จากแบรนด์เก่า 1969|ทีม 4 คน] เดียดร่า บาร์รี่ เป็นนักกีฬาปั่นจักรยานเหรียญเงินโอลิมปิก คิดจะปัดฝุ่นธุรกิจเก่าแก่ของครอบครัวคือจักรยานมาริโพซ่าที่พังพาบไปเเล้วขึ้นมาใหม่แต่เจอคู่แข่งมากมายจึงคล้ายจะถอดใจ แต่ในที่สุดก็ค้นพบว่าคู่แข่งทำแต่จักรยานแบบทั่วไป ไล่แต่ road, touring มาจบที่ track ถือว่าสุดทาง ไม่มีใครทำจักรยานคัสตอมเมดสำหรับงานวิบากระดับ cross over เดียดร่าจึงลงมือผลิตเป็นงานพิเศษเฉพาะลูกค้าแต่ละคนเรียกว่าจักรยานสั่งตัดกันเลยทีเดียว เวลานี้ยอดสั่งผลิต 50 คันต่อปี
Graanmarkt 13, แอนธ์เวิร์ป[ยอดขายปีะ 3.5ล้าน ยูโร | ทีมงาน 20]ปลายปี 2010 คู่สามีภรรยา แกลโอเว่น ซึ่งนิยมใช้เสื้อผ้าและข้าวของประเภทว่า built to last คือว่าของทนทานไม่เกาะกระแสตาม เทรนด์แฟชั่นที่จะต้องเปลี่ยนฤดูกาลไปเรื่อยๆ คิดว่าควรจะทำร้านที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ลักษณะทนทาน ใช้งานได้ยาวนานไม่ต้องสนใจแฟชั่นหรูหราหมุนไว ทดลองเริ่มขายตั้งแต่เสื้อเชิ้ตไปยันถ้วยชาม ก็ปรากฏว่าประสบความสำเร็จดี จนกระทั่งต้องมีที่ระบายสินค้าเก่าที่ไม่พังเสียทีโดยการเปิดตลาดมือสองให้ผู้คนมาเทรดแลกเปลี่ยนกันเป็นธุรกิจเสริม ผู้คนถามก็ว่าจะรวยได้รึ? ก็บอกแล้วว่ายอดขายปีละ 3,500,000 ยูโร!
เรื่องตัวอย่างเหล่านี้ ตอกย้ำกับเราว่า การตลาดที่ Niche ต้องอาศัย Solid Vision หลายคนตั้งคำถามกับโมโนเคิลว่า การทำตลาดเฉพาะกลุ่มจะไหวเหรอ? ยอดขาย จากลูกค้ากลุ่มเฉพาะเพียงพอค่าใช้จ่ายของกิจการหรือไม่
อันนี้ประการแรกทางโมโนเคิลให้ความเห็นว่า การเจาะตลาดกลุ่ม Niche นั้นให้ผลดีมาจากการที่แม้ว่าจำนวนลูกค้าจะน้อย แต่ความภักดี (loyalty) ในสินค้ามีมาก_ลูกค้าซื้อซ้ำเยอะซื้อเปนประจำ มีนัยยะสำคัญต่อรายได้ของกิจการ และลูกค้ากลุ่มนี้เองเป็นลูกค้าที่ผู้ประกอบการก็ชื่นชอบเขาและตัวเขาก็ชื่นชอบผู้ประกอบการ มีความเคารพในกันและกันตามสมควรมีการเรียกร้องต่อกันในลักษณะที่เป็นมืออาชีพ ทำให้ปัญหาเรื่องการอยากทำงานกับใคร/ ไม่อยากทำงานกับใครลดลงได้
ส่วนเมื่อวิเคราะห์เอาจากปัญหาเรื่องว่าจะคุ้มค่าต่อรายจ่ายของกิจการไหม ประเด็นนี้ต้องย้อนกลับไปดูในบทแรกๆ ว่าการประกอบกิจการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าต้องทำตามศักยภาพที่มีไม่ใช่เริ่มจากการจ้างคนมาทำงานช่วยทำได้คนเดียวก็ทำคนเดียว
โมโนเคิล ยืนยันว่า —> คุณจะทำกิจการอะไรนั้น- Purpose matter! (วัตถุประสงค์สำคัญ) ส่วนที่ว่าจะ แมทเธอร์กับใคร เขาว่า ไม่ใช่แค่ Matter for your customers แต่ Matter for your team ! ได้พิมพ์เขียวดังนี้แล้วจึงค่อย share it to the RIGHT PEOPLE โดยดูจาก personality- ลักษณะบุคลิกภาพ
ธุรกิจ Mercato Metropolitano ในลอนดอน ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2015 พนักงาน 60 คนรายได้ต่อปี 45,000,000 ยูโร ทำธุรกิจตลาดอาหารเพื่อชุมชนและความยั่งยืน แชร์ความคิดต่อ คำถามที่ว่าธุรกิจ ของเขาสร้างทีมทำงาน ของเขาสร้างทีมทำงานอย่างไร
แอนเดรีย รัสก้า ผู้ก่อตั้งบอกว่า แอพติจูด - ความสามารถ, Curious - ความสงสัย, Trustful - เชื่อใจได้, Kind - จิตใจดี, Ethical - มีจริยธรรม, Commitment - จิตสำนึกรับผิดชอบส่วนทักษะ (skill) ในงานที่จะต้องทำ ถ้ามีด้วยถือว่าเป็นของแถม นอกจากนี้ธุรกิจจะโตได้คนเหล่านี้ต้องมีแววที่จะสามารถพัฒนาขีดความสามารถของตนได้เมื่อได้รับประสบการณ์หรือคำชี้แนะเพิ่มเติม และมีแนวโน้มที่จะนำทีมของตนเองไปได้ต่อโดยลำพังอีกด้วย ส่วนประเด็นเรื่องความยั่งยืน_sustainbility ที่ทุกฝ่ายพยายามพูดถึงกันในปัจจุบันและนำและนำมาเป็นตัวขับเคลื่อนในการประกอบการ(ณ์)ทางธุรกิจนั้น
ผู้ประกอบการที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวอย่างของโมโนเคิลให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันพอสรุปได้ว่า จุดขายจาก เรื่องความยั่งยืนนั้นนั้นอาจไม่เพียงพอคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการเป็นเรื่องสำคัญ ในระดับเดียวกัน
“It is not just the sustainability, it is the quality too.”
คำนี้ตอกย้ำโดยนาธาน แจ๊คเคอมินเจ้าของกิจการ แปลงกากกาแฟเหลือใช้จากร้านกาแฟคาเฟ่ต่างๆในกรุงลิสบอนเป็นวัสดุปลูกสำหรับ ฟาร์มทำเห็ดนางรมส่วนแนวทางเรื่องการทำตลาดผ่านระบบโซเชียลมีเดียในยุคนี้ ผู้ประกอบการตัวอย่างแนะนำว่าให้เลือก content & tone of voice ที่จะสื่อสารก่อน แล้วจึงเลือก platform ที่จะใช้สื่อสารเป็นขั้นต่อไปไม่ใช่เลือกแพลตฟอร์มก่อน
ส่วนแนวคิดที่สำคัญมากๆในการใส่ใจลูกค้าหรือผู้บริโภคนั้น ควรคิดเผื่อไปถึง ว่าลูกค้าจะเป็นใครหรอ มีรายได้สักเท่าไหร่ มีกำลังที่จะจ่ายเพื่อซื้อสินค้าแค่ไหน แล้วที่ได้ไปใช้งานง่ายแค่ไหน ฯลฯ ยิ่งคิดละเอียดมากกลุ่มลูกค้าเฉพาะจะยิ่งปลื้มใจมากและหมุนเวียนมาซื้อใหม่จนสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกิดขึ้นได้