KEY
POINTS
ผมมีความเห็นว่า บทพิลึกนี้ คือ ละครสั้น สามารถจะเอาไปดัดแปลงเป็นการแสดงนานาแบบได้เลย นี่ใง การเล่าเรื่องขบขันที่มีเนื้อหาผสมผสานสลับไปสลับมา ถ้าการเขียนเรื่องชวนหัวเป็นผลงานของ มาม่า จัดว่าเขามีจินตนาการที่ไม่ได้ให้ร้ายใคร จะโยกมาโยกไปแบบไหนก็ช่าง ถ้าสามารถโยงเอามาสรุปให้ผู้สนใจจำได้ว่า มันจบลงที่ สินค้าได้พอดิบพอดี ถ้าไม่ชื่นชมว่าเป็นผลงานขั้นเทพแล้ว จะให้เรียกว่าอะไร ผมก็เคยเขียนมุกขำขันเอาไปขาย นสพ.เสียงปวงชน ได้ตั้งเรื่องละ 5 บาท บทนี้พิลึกน่ะใช่ แต่เขาไม่ใช่ บทกระจอก
คนกินมาม่าเข้าไป เมื่อมาม่าเดินทางไปถึงบริเวณที่มีพยาธิ พยาธิจะมารุมกินมาม่า แต่เนื่องจากลักษณะเส้นมาม่า มีความคล้ายคลึงกับตัวพยาธิ ทำให้พยาธิสับสนไม่รู้ว่าอันไหนเป็นอาหาร อันไหนเป็นพวกเดียวกัน จึงเกิดการขัดผิดตัว แทนที่จะไปกัดเส้นมาม่า ดันไปกัดพวกเดียวกันเอง พยาธิตัวที่ถูกกัดจึงเกิดความแค้น เนื่องจากกำลังกินอยู่ดีๆ ดันโดนลอบกัด มันก็เลยกัดตอบ
ทีนี้เกิดเป็นโดมิโนเอฟเฟค พยาธิกัดกันเองเป็นพัลวัน ทำให้พยาธิล้มตายกันเกือบหมด ไอ้ตัวที่เหลือก็ไม่กล้าออกมากินมาม่าอีก มันกลัวว่าจะเข้าใจผิด เดี๋ยวจะเกิดบาดหมางกับหมู่เพื่อนฝูงพวกมัน จึงเริ่มผอมโซอดตายกันหมด ผลการทำวิจัยสรุปได้ว่า มาม่ามีฤทธิ์ในการถ่ายพยาธิ์ออกจากร่างกายได้
ช่วงนี้เป็นห้วงเวลาของการส่องคลิป แฟนคลับเขาส่งมาให้ผมดูคลายเหงา มีสองสีกาแดนตะวันตกเธอเป็นตัวละครอ่อนหัด หลังจากฉากนั้นของเธอผ่านไป เธอก็รู้อยู่แก่ใจชัดๆ ว่าเสียท่าเขาแล้ว เรื่องสั้นแต่คงคิดกันยาว
เห็นว่าไม่ใช่คลิปฉาวจึงเอามาเล่าแก้เคล็ด เพื่อนสาวถามเธอว่า “คุณเจอสามีหน่อนี้ได้ยังไง” เธอเทใจสารภาพตรงปกว่า“ เธอก็รู้ว่าฉันเป็นเภสัชกร พ่อหนุ่มเขาเดินเข้ามาชี้กันดื้อๆ ว่าจะซื้อถุงยาง ขอขนาด XXXXXL ฉันหยิบส่งให้ด้วยใจระทึก หลังจากแต่งงานกันปุ๊บปั๊บ ฉันเพิ่งจะรู้ว่า เขาพูดติดอ่าง” (ฮา)
กรณีนี้จัดว่ามี “แง่ขิต” ชวนเหว๋อ เธอไม่ได้เป็นคนกระจอก เพียงแต่ อี.คิว. ของเธอมันเผลอจนกระฉอกก็เลยเจอดีเข้าจนได้ เรื่องแบบนี้จงจำกันเอาไว้ คราวหน้าคราวหลังอย่าหวังว่า จะไม่พลาด จอมยุทธ์ที่ว่าเก่งฉกาจพลาดท่าเดียวเอี้ยวตัวไม่ทัน มันก็แตกดังโพละได้ง่ายๆ สามี กับ ภรรยา ระวังกันไว้ให้ดี เอาแค่พูดจากันให้มันฟังดูดี ขืนพูดจาไม่เข้าทีก็มีสิทธิ์เสียขวัญได้ไม่ยากเลย มีเรื่องสั้นระดับ อมตะ อกาลิโก เอามาเสริมบรรยากาศ บัดนั้น เชิด เตร๋ง เตร้ง เตร่ง เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร้ง เตรง เตร่ง
ภรรยามีนิสัยคล้ายหนังสือพิมพ์ตรงที่เขามักจะมี คอลัมน์ล้วงตับ ทับถมเป็นนิจ พูดแบบไม่ต้องคิดอะไรว่า “ตั้งแต่เกษียณมาเนี่ย ไม่ทำอะไรเลยอ่ะ เอาแต่ กิน ดูละคร แล้วก็นอนเอกเขนก”
สามีก็ตอบกลับไปบ้างว่า “เธอไม่สังเกตบ้างเลยเหรอ ทุกวันนี้ฉันก็ ลำบ๊าก ลำบาก เหนื่อยอยู่ทุกวัน” ภรรยา เปล่งเสียงไซเรนทันควัน ตอบว่า “ลำบาก อะร๊าย ไหนบอกมาหน่อยสิ” สามี คิดอยู่ในใจว่า ทำไมภรรยาถึงไม่รู้จักคุณค่าของสามี! จึงเปลี่ยนจาก ตอบกลับ! มาเป็น ตอกกลับ!
ขยับอิริยาบทแล้วปล่อยมุกว่า ฉันพยายามหายใจอยู่เนี่ย รู้ตัวบ้างหรือเปล่า วันไหนที่ฉันยังขยันหายใจ เธอมีเงินบำนาญ 30,000 บ. ใช้จ่ายทุกวัน วันไหนที่ฉันหมดแรง ขี้เกียจจะหายใจ เธอก็จะไม่ได้แม้แต่สลึงเดียว ภรรยาฟังจบก็รีบโผเข้าไปกอดพร้อมกับพูดเสียงหวานว่า “หายใจ ทุกวั๊น ทุกวัน หายใจนานๆ นะคะคุณพี่” (ฮา)
ใครที่รู้จักคุณค่าของคนแสดงว่า เขาเป็นมนุษย์ มนุษย์บ๋อย ประจำโรงแรมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น คนหนึ่ง เขาให้เกียรติ มนุษย์เก๋ากี้ก ซึ่งเป็น ลูกค้า ที่เขาไม่รู้จักว่าตัวตนผู้นี้เป็นใคร หลังจากเสิร์ฟให้ครบทุกอย่างด้วยลีลามากมารยาท มนุษย์เก๋ากี้ก ประทับใจ จึงส่งกระดาษที่มีข้อความพิเศษบันทึกเอาไว้ว่า “การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสมถะ จะนำความสุขมาให้ ดีกว่าการวิ่งหาความสำเร็จอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งจะมีความวุ่นวายชนิดที่ไม่รู้จบ”
มนุษย์เก๋ากี้ก กำชับ มนุษย์บ๋อย ว่า “เก็บกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ให้ดีมันมีค่ามากกว่า เงินทิป หลายสิบเท่า”
เวลาผ่านมานานหลายปี มี มนุษย์ ท่านหนึ่ง มาขอประมูลกระดาษแผ่นนี้ไปในราคาเกินกว่า 50 ล้านบาท เล่นเอา มนุษย์บ๋อย ตาค้าง เพิ่งจะรู้ว่า มนุษย์เก๋ากี้ก คือ ท่านปรมาจารย์ อัลเบิรต ไอสไตน์ นั่นเอง ในกรณีนี้มีคติแฝงอยู่ว่า “จะดูคนว่าใครเป็น มนุษย์ อย่าไปดูที่รายได้ จะคบมนุษย์ให้ดูความสำคัญที่ผลลัพธ์”
เล่าเรื่องนี้ก็ต้องขอแฉลบไปที่เรื่องนู้น ไอ้เรื่องนู้นมันมีเกร็ดเล็กๆ แต่สเปคกระเทือนสามภพว่า อ้ายหนุ่ม เขาไปขอหวยหลวงพ่อ บนบานกับท่านไว้ว่า “ถ้า ข้าพเจ้า ถูกหวย จะถวายไข่ 20,000 ฟอง” แล้วเขาก็ถูกหวยจริงๆ ปัญหาอยู่ตรงที่ มันถูกไอ้ตัวที่แทงเอาไว้น้อย ไอ้ตัวใหญ่หนังเหนียวแทงไม่เข้า มีตังค์ไม่พอที่จะไปซื้อไข่ ครั้นจะไม่แก้บนก็เกรงว่าจะบาปหนัก ใครชักดาบกล้าทำบาปเรื่องหวยไม่เคยมีการรอลงอาญา (ฮา)
อ้ายหนุ่ม ไปขอคำแนะนำกับ หลวงตา หลวงตา ถามว่า “เอ็งบน ไข่เป็ด หรือว่า ไข่ไก่” อ้ายหนุ่ม บอกว่า “ผมไม่ได้ระบุสเปคครับ” หลวงตา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เอ็งมีทางรอดแล้ว ถวายไข่ปลาเลย จำนวนไข่มันมากเกินพอเลยนะเอ็ง” (ฮา)
ความคิดนี้ก็จัดว่าไม่กระจอก แต่ก็ขอบอกว่า ถ้าเราเป็นเทวดาประจำตัวของ หลวงพ่อ เราจะปลื้มไหมที่ไข่มันลดขนาดลงไปปานฉะนี้ (ฮา) คิดได้ทำได้ก็ดี เห็นทีจะต้อง ขอขมา เพื่อจะเดาว่า ผู้ที่คิดวิธีแก้ไขเช่นนี้คงจะมีชื่อเล่นว่า “ลูกกลิ้ง” ซะละมั้ง (ฮา)
คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล ฐานเศรษฐกิจออนไลน์