โลกนี้ไม่มีอะไรกระจอก ฉากที่ 8

18 ก.ค. 2568 | 23:30 น.

โลกนี้ไม่มีอะไรกระจอก ฉากที่ 8 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย…ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4115

เล่าเรื่องชาวบ้านกันมานานนม ยกนี้ผมหันมาแฉตัวเองบ้างจะเป็นไรไป  บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าผมเป็นคนเมืองเหนือ  เหนือ…มาเลเซีย (ฮา)

เรียนจบมัธยมปลายที่ จังหวัดหาดใหญ่ (ฮา)  เดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อจะสอบเอ็นทรานซ์  เลือกสอบ ม.จุฬาฯ สาขา กฎหมาย กับ รัฐศาสตร์ และ ม.ธรรมศาสตร์ สาขา กฎหมาย กับ รัฐศาสตร์ ปรากฏผลการสอบว่า ผมสอบติด ม.รามคำแหง สาขากฎหมาย (ฮา)   

 

เพื่อนที่มันเรียนจบ ม.ปลาย จังหวัดสงขลา สอบติด ม.จุฬาฯ สาขา รัฐศาสตร์  ไอ้หมอนี่เกรดมันไม่กระจอก แต่มันไม่เข้าใจว่าในโลกนี้ไม่มีใครกระจอก ขอโฆษณาแทรกหน่อยว่า คุณแม่ ที่บ่นตามรอย ท่านชวน ซึ่งพูดซ้ำจนโดนเขาแซวว่า แผ่นเสียงตกร่อง เหตุที่พูดซ้ำก็เพราะบอกแล้วบอกอีกก็ไม่ทำตามที่บอก วิ่งรอกกลับมา เฉ่งไอ้หมอนี่ต่อให้จบตอน อิๆ…

หลังจาก ม.จุฬาฯ บรรจุเขาเป็นนิสิต เรียบร้อย วันอังเคิล คืนอังเคิล เขาแวะมาพบปะพรรคพวกที่ สอบติด ม.รามคำแหง เดินมาจ๊ะเอ๋ผมเข้าพอดี  ท่าน “นิสิต” แปลงกายเป็น “ปรสิด”  โดยพลัน เขาทักทายผมแบบไม่ต้องแปลซ้ำสองว่า “ว่าไง ไอ้วงศ์ กูบอกมึงแล้วว่า ให้ไปติว มึงไม่ติวก็มานั่งลงเลยอยู่ที่นี่ กูเรียนจบที่ ม.จุฬาฯ กูก็กลายเป็นดาวฤกษ์! มึงเรียนจบที่ ม.รามคำแหง มึงก็กลายเป็นดาวเทียม?” 

 ผมยิ้มนิดนึงแล้วก็ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณที่ให้กำลังใจว่า เรียนจบที่ ม.รามคำแหง ก็กลายเป็นดาวเทียม ยังดีนะที่มึงไม่บอกว่า กูเรียนจบ ม.รามคำแหง จะกลายเป็นอุกาบาต! (ฮา) 

ถ้าเป็นจริงอย่างที่มึงว่า บ้านเมืองก็อิ๊บอ๋ายแน่นอน มึงแนะกูได้ กูขอแนะมึงมั่ง มึง อย่าคิด อย่าฝัน ว่า ดาวฤกษ์ จะค้างฟ้าอยู่ไม่รู้จบ อย่างน้อยที่สุด วันใดวันหนึ่ง ดาวเทียม มันลอยผ่านสายตาของชาวโลก ดาวฤกษ์จะหลุดไปจากสายตา เขาจะหันไปส่องดู ดาวเทียม เพราะเขาอยากรู้อยากเห็น ดาวเทคโนโลยี่” (ว๊าว ว๊าว ว๊าว)

ผมเล่าให้ คุณหญิง จินตนา ยศสุนทร ฟัง ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า “พูดเท่มากเลย ทั้งสำนวนและเนื้อหา ฉันขอถ้อยคำที่เธอพูดเอาไปเล่าต่อบ้างนะ” ผมก็คิดเล่นๆ ในใจว่า “นั่นไง บอกแล้วว่า ศิษยานุศิษย์ ม.รามคำแหง ขายออก”

                    โลกนี้ไม่มีอะไรกระจอก ฉากที่ 8

ผมลืมบอกไปว่า ในวันเวลาเดียวกันนั้น ผมกำลังนั่งถือ สบู่หอมตรานกแก้ว ที่เพิ่งไปซื้อมาจากร้านค้าหน้าสถาบัน ม.รามคำแหง กลิ่มหอมใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อน้ำหอมราคาแพง ไอ้หมอนี่แหละมันแซวก่อนที่จะฮุค ว่า เรียนจบ ม.รามคำแหง จะกลายเป็นดาวเทียม มันคว้าสบู่หอมตรานกแก้ว เอาไปชูให้เพื่อนทั้งโต๊ะดูแล้วบอกเสียงดังว่า “เฮ้ย พวกมึงดูสิ ไอ้วงศ์ มันใช้ สบู่ถูหมา เว้ย” (ฮา)  

หลายปีผ่านไป สหายนะ ท่านนี้ เขาก็ได้รับการคัดเลือกเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เจอหน้ากันทีไรก็จะถามเหมือนกันว่า มหาดไทย! แปลว่าอะไร คิดมาคิดไปก็ไม่ดีกว่า หนึ่งทศวรรษผ่านไปเขาเดินถือแฟ้มเข้าไปขอพบกับรัฐมนตรี ผมขอไม่เอ่ยชื่อกระทรวง

เขาหันมาเจอผมนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงหน้าห้องรัฐมนตรี ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกว่า ผมมานั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร เขาถามผมว่า “มานั่งอยู่ที่นี่ได้ไง มาทำอะไรอยู่ที่นี่” ผมก็ยิ้มแล้วเล่าแบบ บทคัดย่อว่า “สมมุติว่า ถ้าที่นี่เป็นภูเขา คุณเดินขึ้นมา ผมโชคดีหน่อย นั่ง ฮ. ขึ้นมา ท่านรัฐมนตรีจะขอคุยงานกับผม ก็เลยมานั่งรอท่านอยู่!” 

เขาคงแปลกใจและนึกไม่ถึงว่า ไอ้เด็กกะโปโลอย่างผม กลางวันเรียนหนังสือ ตกเย็นปั่นสามล้อหาตังค์ใช้ กว่าจะได้ค่าปั่นไปส่งทีละสองบาทสามบาทมันสุดแสนจะลำบาก เพราะว่า ขาผมสั้น มันปั่นไม่ค่อยจะถึง (ฮา) 

ที่แย่กว่านั้น โยกก้นไปทางซ้าย ย้ายก้นไปทางขวา แสบก้นจนโดนแซวว่า “โดนใครเล่นถั่วดำวะเนี่ย” (ฮา)  

ผมเริ่มทำมาหากินเป็น วิทยากร กับ อ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ท่านชวนผมไปบรรยายในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ขออนุญาตไม่บอกแบรนด์ ลูกสาวเจ้าของบริษัทนั่งฟัง อ.ทินวัฒน์ ด้วยความเพลิดเพลิน ผมก็เป็นมวยรองรับช่วงต่อจาก อ.ทินวัฒน์ ลูกสาวเจ้าของบริษัทกำลังจะเดินออกจากห้องการบรรยาย ในขณะที่ผมกำลังเริ่มเล่าความเห็นและเล่นมุกเป็นกรณีศึกษา 

เธอหยุดอยู่กับที่มองซ้ายทีขวาที เลือกเก้าอี้นั่งฟังผมจนจบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เธอเดินมาหาผมหลังจากผมพูดจบ แล้วบอกผมแบบตรงปกว่า “คุณสุรวงศ์ ที่ฉันฟังเพราะคุณพูดได้ดีมาก มากกว่าวิทยากรที่ฉันเคยฟังมาก่อน คุณไปทำหน้าให้หล่อกว่านี้หน่อยก็จะดี” หลังจากจบวาทกรรม เธอก็ขำ ผมก็พลอยเขินไปด้วย แต่ก็ภูมิใจที่ ป.ตรี อย่างผม คือ ผลผลิต ของ ม.รามคำแหง เป็น ดาวเทคโนโลยี่! (ฮา) 

ผมเคยได้รับคำเชิญให้เป็น ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ของ คณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะ และ วัฒนธรรม ประจำสภาผู้แทนราษฏร กับ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ของ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ ประจำสภาผู้แทนราษฏร ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ได้เบี้ยเลี้ยงกันทุกคน 

ได้ความรู้มาอย่างหนึ่งว่า คนที่ทาบทามให้ผมไปเข้าร่วมเขาบอกผมว่า ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ 3 ท่านแรก จะได้เบี้ยเลี้ยงการเข้าร่วมประชุม นับจากนั้นไปจะไม่มีเบี้ยเลี้ยง อ.สุขุม นวลสกุล บอกว่า “กรรมาธิการ และ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ได้เบี้ยเลี้ยงกันทุกคน” แบบว่า ผมจะเชื่อใครดี ก็เอาเป็นว่า ผมกับท่าน  อ.สุขุม นวลสกุล คงจะเมากันมากไปหน่อยก็แล้วกัน (ฮา) 

ผมเรียนจบ ป. โท ที่ ม. ศรีปทุม คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ วันดีคืนดีผมก็ได้รับเกียรติบัตร ปริญญาเอก ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ คณะศาสนศาสตร์ ม. มหามกุฏราชวิทยาลัย

ผมนึกย้อนหลังไปไกลในวัย ม. 3 ผมทะลึ่งเขียนชื่อไว้ตรงหน้าปกสมุด วิชา ภาษาอังกฤษ ว่า ดร.สุรวงศ์  ครูสาวก็ลบ “ดร.” ออก แล้วเขียนทับลงไปว่า “ด๊อก” หลังจากนั้นคงนึกได้ว่าดูไม่ดี จึงเอาปากกามาขีดไปขีดมา แต่ก็เห็นริ้วรอยที่เขียนเพิ่มไว้ชัดเจน (ฮา)

สรุปว่า ผม เพื่อน และ ครู ไม่ใช่ ไอ้กระจอก เพราะพฤติกรรมที่ทำกันไปใส่กันมา ไม่ใช่ลักษณะของความกระจอก มันเป็นลักษณะของ ขี้เล่น ขี้เบ่ง ขี้รำคาญ ขี้อวด ขึ้นชื่อว่าขี้จัดว่าเข้าข่าย โหลยโถ้ยกันไปคนละแบบ  

ถ้าจะให้ดีนะ จัดตั้ง ศูนย์เครดิตกิจกรรมชีวิต ใครยังพูดไม่เลิกว่า กระจอก ให้เชิญมารับ โล่กระจอก ซะให้เข็ด