บ้านเกิดของเขา Les Brown เป็นอาคารร้าง ชีวิตในวัยเรียนเขารู้สึกว่าตนเอง พิการทางจิตใจในมุมการศึกษา เพราะว่าถูกไล่ออกจากโรงเรียนหลายครั้ง เขามีน้องชายฝาแฝดที่ฉลาด และมีพรสวรรค์เป็นพิเศษ เพื่อนฝูงเรียกเขาว่า แฝดใบ้
มีอยู่วันหนึ่งครูขอให้เขาขึ้นมาแก้ปัญหาบนกระดานดำ เขาปฏิเสธ ครูก็ให้กำลังใจว่า “หนุ่มน้อย เธอทำได้แน่นอน มาแก้ปัญหานี้ให้ฉันหน่อย” เขาบอกครูว่า “ผมมีสติปัญญาบกพร่องด้านการศึกษา” เพื่อนร่วมชั้นหัวเราะกันครืน ครูก้าวออกมาจากหลังโต๊ะ มองตาเขาแล้วกำชับว่า “อย่าพูดแบบนั้นอีก เธอจำเอาไว้นะ ความคิดเห็นของคนอื่นไม่ใช่ข้อสรุปว่ามันจะเป็นเรื่องจริงในชีวิตเธอ”
หลังจาก Les Brown บรรลุนิติภาวะ บทบาทเขาเปล่งประกายทอแสง ชื่อโก้ว่า เลสลี แคลวิน บราวน์ ก้าวขึ้นมาเป็น นักการเมือง และ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ผู้คนทั่วไปในแว่นแคว้นอเมริกันพากันชื่นชมยินดี
โบราณเขาถึงเตือนกันไว้ว่า คนล้มอย่าข้าม อันที่จริงไม่ต้องเตือนก็น่าจะคิดออกว่า ถ้าข้ามตอนที่เขาล้มก็พลอยล้มตามไปด้วยเพราะเขาคว้าขากางเกงเพื่อพยุงกายขึ้นมา หากเขาคว้าผิดจุดเราก็จะจุก (ฮา)
ลองนึกดูให้ดี เพื่อนบ้านนอก สนใจจะเรียนสาขาวรรณคดี เราก็ปล่อยฮาแซวเขาว่า “เอ็งจะเรียนไปเล่นลิเกรึไง” ปรากฏว่า หลังจากเขาเรียนจบการศึกษา เขากลับได้ทำงานกับ “โรงแรมวัดธนะทำ” เงินเดือนสูงลิ่ว เราเองเรียนโลจิสติกส์จบแล้วก็มาทำงานเป็นฝ่ายดูแลการขนส่งสินค้าเข้าออก ในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ปรากฏว่า งานไม่เดิน เนื่องจาก ทหารสั่งปิดทุกด่าน เขานั่งขำ เราก้มหน้านั่งพึมพำว่า “อังเคิล เอ๊ย อังเคิล” (ฮา)
หนังจีนแต่ละซีนล้ำลึกตามกันไม่ทัน พระรอง นัดดวลกับ จอมมาร ทั้งสองฝ่ายเดินทางมาคนละทิศแวะพักที่โรงแรมเดียวกัน พระรอง เขาจะ ฝึกกระบวนท่าพลองสนองทรชน ทุกคืน รุกท่านั้น หลบท่านี้ โชว์ไปโชมาให้น่าเกรงขาม
พระรองรู้ว่า จอมมารสามง่ามพิฆาตสิบทิศ เก็บตัวอยู่ในห้อง นั่งแอบมองเพื่อหาจุดบอดของคู่กรณี กระบวนท่าที่ จอมมาร งงทุกที คือ หลังจากโชว์กระบวนท่าไปสักพัก ก็จรดปลายกระบองแตะลงบนผิวดินทำมุม 45 องศา ส่วนหัวกระบอกก็วางแนบไว้กับฝ่ามือและแขน ยืนถืออยู่อย่างนั้นนานพอที่จะก่อให้เกิดความฉงน
ครั้นเมื่อ วันดวลชวนนัด มาถึง ทั้งคู่ก็ไปสู้กันตรงเชิงเขา หวดกันไป ฟาดกันมา 50 เพลง พระรอง ก็เล่นของ จรดปลายกระบองแตะลงบนผิวดินทำมุม 45 องศา สายตามองตรงลงไปที่ปลายกระบอง เพ่งดูเงียบกริบไม่กระพริบก็ว่าได้ จอมมาร ฆ่าใครต่อใครมาทุกทิศ เจอมุกนี้ไม่มั่นใจจึงไม่ปะทะด้วย สู้กันไม่นานนัก จอมมาร ก็โดนหวดด้วยปลายกระบองหลายตลบ ในที่สุด จอมมาร ก็เสียท่า พระรอง อย่างไม่น่าเชื่อ
ลูกศิษย์ ของ พระรอง ที่เฝ้าดูอยู่ทุกคืนก็ถาม พระรอง ว่า “กระบวนท่าปลายกระบองจรดทำมุมกับพื้นดิน เป็นกระบวนท่า อะไร ไม่เคยเจอในตำรา” พระรอง ก็กระซิบว่า “เอ็งอยากจะรู้ ข้าก็จะบอก แต่เอ็งต้องสัญญากับฟ้าดินนะว่า จะไม่เอาไปเล่าให้ใครฟัง ถ้าใครรู้เข้า ข้าจะโดนเขาแก้ทางได้ ข้าจะอายุสั้น ยืนยันตามนี้ไหม”
ลูกศิษย์ ตกลงกับ พระรอง เรียบร้อย พระรอง ก็ไขความลับว่า “กระบวนท่าจรดปลายกระบองแตะลงบนผิวดินทำมุมแหลม 45 องศา เป็น ลีลาในการหยุดพัก ช่วยให้ข้าหายเหนื่อยจนมีแรงฟาดมันได้” (ฮา)
การดูแคลนคนจนว่ากระจอก เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าในวันข้างหน้าใครมันจะรวยกว่าใคร เราก็อย่าดูแคลนผู้ใดแม้แต่คนเดียว อะไรที่เราไม่รู้จะเป็นเหตุให้เราเสียฟอร์มได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ในเมื่อเราไม่รู้ว่ามันจะออก
หัว หรือ ออกก้อย ก็อย่านั่งรถไปเล่นไพ่ในดง “ขะเหม็น” (ฮา)
ยศ ของ เวไนยสัตว์ มีไว้ให้รู้ว่า ใผเป็นใผ ไม่ได้มีไว้เบ่งใส่มนุษย์
งบ ของ เวไนยสัตว์ มีไว้ให้รู้ว่า ไว้ใช้สอย ไม่ได้มีไว้ใต้โต๊ะมนุษย์
โท ของ เวไนยสัตว์ มีไว้ให้รู้ว่า ไว้ใช้ดำริ ไม่ได้มีไว้ว่าร้ายมนุษย์
กุ้ง ของ เวไนยสัตว์ มีไว้ให้รู้ว่า กินให้เป็น ไม่ได้มีไว้โอ้อวดมนุษย์
รถ ของ เวไนยสัตว์ มีไว้ให้รู้ว่า ไว้ใช้งาน ไม่ได้มีไว้ทับถมมนุษย์
ดัง ของ เวไนยสัตว์ มีไว้ให้รู้ว่า เครดิตดี ไม่ได้มีไว้ดูหมิ่นมนุษย์
หมอท่านหนึ่งสนิทกับผม ท่านก็เล่าแจมกับผมไว้ว่า ผีเข้าผีออก ร้ายกว่า กระจอก เยอะเลย หมอเมืองนอกเขายังแซวกันเฉยว่า หมออายุรกรรมรู้ไปหมดแต่ไม่ทำอะไรเลย หมอศัลยกรรมไม่รู้อะไรสักอย่างแต่แปลกจริงๆ ทำมันทุกอย่าง จิตแพทย์ไม่รู้อะไรแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย พยาธิแพทย์รู้เยอะ แต่เสียดายที่ลงมือช้าไปวันนึง (ฮา)
O DNA อันเป็นที่มาของเชื้อ “กระจอก” มันเกิดมาจาก ความลำพอง ของ เวไนยสัตว์ ซึ่งยังคงคลั่งไคล้ในสิ่งที่เย้ายวนให้ บ้ายศ บ้ายัด บ้าใหญ่ บ้าเยี่ยม บ้ายอด บ้ายอ บ้าเยอะ จนเกินพอดี ไม่สนใจที่จะลอกคราบ เขาจึงโดนคราบ เวไนยสัตว์ ครอบงำเอาไว้ อย่างเช่น ผมนั่งรถเบนซ์เข้าไปในอาคารของเวไนยสัตว์ รปภ. เขาตะเบ๊ะพรึ่บ รีบวิ่งหาที่ให้จอด ผมก็รู้สึกเลยว่าเรานี่โก้ไม่ใช่เล่น
ในเดือนต่อมา ผมนั่งรถปิคอัพเข้าไปในอาคารของเวไนยสัตว์ รปภ. ไม่ตะเบ๊ะต้อนรับ ไม่หาที่ให้จอด ทำอยู่อย่างเดียว คือ บอกชัดเจนว่า อย่ามาจอดแถวนี้! ผมบรรลุธรรมโดยพลันว่า รปภ. เขาตะเบ๊ะรถ ไม่ได้ตะเบ๊ะเรา (ฮา)
ถ้ามีโอกาสคุยกันได้ ผมอยากจะถามเขาใจจะขาดว่า “ถ้ารถปิคอัพมันกระจอกเพราะราคาถูกกว่ารถเบนซ์ แล้วทำไมเวลาไปซื้อของในตลาดถึงได้ไปต่อว่าต่อขานแม่ค้าว่า ทำไมขายแพงอย่างนี้! (ฮา)
ถามแล้ว แล้วก็จะแถมอีกหน่อยว่า “ถ้าผูกปิ่มโตซูฮกว่ามันต้องเบนซ์เท่านั้น ถึงจะถือว่าไม่กระจอก รู้ตัวไหมว่าเราเองก็กระจอก ตอนที่ออกมาจากช่องคลอด เราไม่ได้กอดเบนซ์ออกมา หากเราไม่มีของแพงติดตัวแล้วแปลว่า กระจอก มันกระจอกกันตรึม นั่นแหละ” (ฮา)