KEY
POINTS
ย่อหน้านี้เป็น “คำนำ” เนื้อความเสมือนจริง ฝอยกันสักหน่อยว่า ปัญญา ของ “นักเลียน” มักจะเบาหวิว ต่างกับ ปัญญา ของ “นักคงแก่เรียน” มักจะหนักอึ้ง กิจกรรมรายสัปดาห์ ของ นักเลียน คือ อิ่มแล้วแอบนอน กิจกรรมรายชั่วโมง ของ นักคงแก่เรียน คือ แปลงกายเป็นหนอนหนังสือ แต่มันน่าประหลาดใจตรงที่ นักเลียน เขาสามารถจะดูแลตัวเองเอาตัวรอด หลังจาก “เลียนจบ” เขาไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ อยู่ได้ไม่กี่วันเริ่มรำคาญลูกค้า ใครงอแงเข้ามาแกก็จิกจนลูกค้าจุก หัวหน้าเรียกมาเตือนว่า “เฮ้ย! ลูกค้า คือ พระเจ้า นะเว้ย” เขายังยิ้มแป้นชี้แจงหน้าตาเฉยว่า “เอ๊า! ก็ผมไม่ได้นับถือคริสต์นิ ผมก็เลยไม่เดินตามรอยพระเจ้า” (ฮา)
ย่อหน้านี้เป็น “คำนึง” จะขอเล่าถึง ลุงป้อม วันที่อภิปรายในสภา หลังจาก ลุงป้อม พูดจบ ส.ส. รุ่นหลาน ก็ลุกขึ้นมาพูดสวนกลับ กรณีนี้ นักจัดรายการท่านหนึ่งถาม ลุงป้อม ว่า “โดนเขาพูดแขวะแบบนั้น ลุงป้อม มีความเห็นว่าไงบ้าง” ลุงป้อม ก็ตอบเป็นบทคัดย่อว่า “จะไปถือสาอะไรกับเขา ก็เขาคิดได้แค่นั้น!” ผมขอแปลแก้ง่วงว่า “ก็เขาคิดได้แค่นั้น!” หมายถึง “ผู้ตอบโต้ท่านนั้น ยังมี อัธยาข้น เป็น นักเลียน อยู่อ่ะดี้!” (ฮา)
ย่อหน้านี้เป็น “คำสวด!” เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า มาณพ ชาวเมืองพาราณสี ตั้งใจดีไปศึกษาที่ กรุงตักกสิลา ประสงค์เรียนศิลปะ เขามีน้ำใจอุปการะอาจารย์อย่างยิ่ง เสิร์ฟเครื่องดื่ม ทำกิจตามคำขอ รอนวดเท้าให้อาจารย์ เป็นนิตย์ น่าเสียดายที่ ปัญญาเบาหวิว ยากที่จะเรียนอะไรๆ ได้ อาจารย์เห็นใจ
ก่อนจะจากกันไปท่านก็คำนึงว่า “ศิษย์คนนี้มีอุปการะแก่เรามาก แม้ว่าเป็นบัณฑิตไม่ได้ ขอผูกมนต์ให้เขาสักบทหนึ่งก็ยังดี” พุทธมนต์บทนี้มีนัยสำคัญ เนื้อหาดั้งเดิมเขาสวดกันว่า “ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กึการะณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ” แปลว่า “ท่านเพียรไปเถิด เพียรไปเถิด, เพราะเหตุไรท่านจึงเพียร, แม้เราก็รู้เหตุนั้นอยู่, รู้อยู่” คนนี้เขาก็เป็นคนซื่อและขยันขันแข็ง แค่บอกให้ท่องก็ท่องตะบันราดเลย (ฮิ้วววววว)
ย่อหน้านี้เป็น ปล. ผลปรากฏเป็นที่น่าสนใจไม่น้อยว่า คาถาบทนั้นผ่านมานานวันเขาก็ปรับถ้อยคำใหม่เป็น “ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ” ก่อนจะแปลขอบอกก่อนว่าอยากจะฮาแต่ฮาไม่ได้ เพราะเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ “ทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร” (สาธุ)
ย่อหน้านี้เป็น “คำฝัน” ในวาระต่อมา พระราชาเสด็จออกตรวจราชกิจเพื่อดูแลความเรียบร้อย โจรมันย่องมาลงมือปีนบ้าน “คนไร้ค่าที่ราชานับถือ” คือ มาณพ เละเมอตะโกนดังลั่น “ทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร” โจรบ่นอุบอิบเผ่นแน่บเพราะนึกว่าเจ้าของบ้านตื่น
ย่อหน้านี้เป็น “คำสั่ง” พระราชาฉงนใจว่า ทำไมโจรถึงใส่เกียร์หมา เขาก็บอกว่า “มันกลัวคาถาวิเศษ!” ใครที่เมนท์ว่า “สวดคาถากันไปทำไม” ลองเอาบทนี้ไปสวดสิ ถ้าขยันเมนท์แต่ขี้เกียจทดลอง อย่างน้อยก็ควรจะแวะไปถาม “หลวงปู่บัวเกตุ” เป็นพระบริสุทธิสงฆ์ ท่านแนะนำว่า “ฆะ เฏ สิ” เป็น “หัวใจ” ป้องกันภัยช่วยขจัดปัดเป่าพิษภัยและสิ่งไม่ดีที่จะเข้ามาทำร้าย ชีวิตฉากนี้ชี้ชะตาให้ชีวิตพลิกผัน มาณพ เฮงฉับพลันเมื่อพระราชาขอเป็นศิษย์ มาณพ สั่งให้ พระราชา ปูผ้านั่งกับพื้น แย็บชี้แนะว่า คิดจะเรียนไม่ควรจะถือตัวถือตน!
ย่อหน้านี้เป็น “คำชม” หลังจาก พระราชา ท่องบ่นเป็นประจำอยู่เหมือนกัน ท่องไปท่องมา ก็มีอยู่วันหนึ่งบุคคลใกล้ชิดคิดจะชิงราชสมบัติ จ้างให้ช่างตัดผมโกนพระมัสสุ (หนวด) ให้ พระราชา เมื่อท่านไม่ระวังตัวก็จงรีบปาดคอ เจ้าจะได้รับรางวัล
ครั้นเมื่อ พระราชา ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ ท่านทรงภาวนาพระคาถาเพื่อทบทวนเล่นเอาช่างตัดผมตัวสั่นงันงก เพราะนึกว่าพระราชารู้แล้ว ตัดสินใจสารภาพ พระราชารอดไปได้ด้วยพระคาถาที่ได้เรียนรู้มาจาก ปุถุชน ผู้ซึ่งไม่มี ปริญญาบัตร เขามี น้ำใจ เป็นต้นทุน ดูแลเอาใจใส่อาจารย์ ทั้งๆที่เรียนไม่จบอะไรเลย นอกจาก พระคาถา “ฆะ เฏ สิ” หนึ่งบท ช่างกระไรได้ ถึงแม้ว่าใครจะรู้สึกว่าคาถา ไม่ปัง! ไม่ปั๊วะ! แต่ปรากฏการณ์พระคาถามตรงเผงอยู่ สี่เป๊ะ
ย่อหน้านี้เป็น “คำคม” เป๊ะหนึ่ง เหมาะสมกับคนขยันท่อง เป๊ะสอง เอาไปใช้ให้ สะอาด ถูกกาละเทศะ เป๊ะสาม ครูกลอนสุนทรภู่ ท่านแต่งไว้ว่า “อันความรู้ รู้กระจ่าง แต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยว ชาญเถิด จะเกิดผล อาจจะชัก เชิดชู ฟูสกนธ์ ถึงคนจน พงศ์ไพร่ คงได้ดี” เป๊ะสี่
อาจารย์ผู้สอน คือ พระโพธิสัตว์ พร่ำสอนให้เขาท่องกลับไปกลับมาหลายร้อยครั้ง จากนั้นอาจารย์ลองซักถามว่า “เธอจำได้หรือ?” ครั้นเมื่อเขาตอบชัดเจนว่า “ผมจำได้ขอรับ” จึงสรุปได้ว่า “โดยปกติแล้ว ศิลปะที่คนเขลาได้พยายามทำให้คล่องแล้ว เขาย่อมไม่เลือน”
เรื่องนี้ พระพุทธเจ้า เล่าให้ พระสาวก ฟังว่า ผู้สอนมาณพผู้นี้ในชาติก่อน คือ (ว่าที่) พระพุทธองค์ นั่นเอง
ย่อหน้านี้เป็น “คำถาม” บัญฑิต ป.โท ตกกระป๋อง จึงลองไปสมัครงานเป็น เจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง หมีกริซลี่!ใน อุทยานอนุรักษ์สัตว์ ที่ต่างประเทศ เผชิญหน้ากับ คนไทย เรียนจบ ป.6 ทำงานนี้มา 20 ปี เขาทำหน้าที่ เป็นฝ่ายดูแลเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ทุกรุ่น ได้เงินน้อยไม่เป็นไร ทำงานสบายใจก็ดีแล้ว
บัญฑิต ป.โท คิดในใจว่า “ทำไมไม่สอบเลื่อนตำแหน่ง มีเงินเดือนเยอะกว่า กระจอกจริงๆ” เมื่อได้เวลา ปฐมนิเทศ ให้ผู้ที่มาสมัครงาน Guru ป.6 ก็เล่า หลักปฏิบัติ อยู่พักหนึ่ง ท้ายสุดก็ให้คำแนะส่งท้ายว่า
“ในช่วงร่วมทำกิจกรรมกลางแจ้ง ขอให้ห้อยกระดิ่งไว้ตรงข้อมือ พกสเปรย์พริกไทยติดเอวเอาไว้ด้วย การชวนนักท่องเที่ยวเดินชมวิวที่สวยงามในแต่ละครั้ง จะต้องสังเกต อึของหมีดำ และ หมีกริซลี่ ให้แม่นยำ อึของหมีดำ มีขนาดเล็กกว่า และ มีผลเบอร์รี่ กับ ขนกระรอก ปะปนอยู่มาก อึ ของ หมีกริซลี่ จะมีกระดิ่งเล็กๆ อยู่ในอึ มันจะมีกลิ่นเหมือนพริกไทย” (ฮา)
อ่านแล้วนึกภาพออกใช่ไหมว่า ทำไมคนเรียนจบ ป.6 ถึงได้เลือกรับทำหน้าที่เป็น ฝ่ายดูแลเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง!
ถ้าเอาเกรดมาเป็นเกณฑ์ในกรณีนี้ ระหว่าง คนเรียนจบประถม กับ คนเรียนจบ ป.ตรี ใครกระจอกกว่าใคร
คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย... ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4111