ในฐานะที่ผมนินทา คนที่ชอบนินทา ว่า คนนั้นก็กระจอก คนนี้ก็งอกง่อย ตัวเขาเองลืมพิจารณาตนเองว่าเขากระจอกหรือเปล่า ถ้าเขาเชื่อว่า ตนเองไม่กระจอก ถือว่า เขายังมี ทัศนคติในเชิงบวก หลงเหลืออยู่บ้าง (ฮา) โลกนี้มีสงครามเมื่อไหร่ เราลองไปเชิญเขามาร่วมรบ ถวายเครื่องเส้นว่ายเสร็จสรรพ ก็ขอให้เขาไปแผลงฤทธิ์แถวตะเข็บชายแดน ทหารฝ่ายวุ้นเส้นเผ่นแน่บชัวร์ (ฮา)
นักข่าวสายมู ลองไปสัมภาษณ์ ท่านผีห่าซาตาน ที่ออกมาตระเวณเพ่นพ่านแลบลิ้นปลิ้นตา ลองถามดูซิว่า “ปราสาทตาเมือนธม เป็นของใคร!” ท่านผีห่าซาตาน เขาจะบอกเราว่า “ข้าเป็นผีฝรั่งเศส ข้าเป็นนายช่างก่อสร้างอาคาร ข้าจะแลบลิ้นให้เอ็งดู รถเอ็งมีตลับเมตรวางไว้ท้ายรถ ใช่ป่ะ ปราสาทห่างจาก รั้ววุ้นเส้น เท่าไหร ข้าจะแลบลิ้นให้ยาวเท่ากับระยะทางนั่นแหละ!”
หลังจากนักข่าวกับลูกน้องวัดอยู่หลายอึดใจก็รีบกลับมา ยังไม่ทันจะได้รายงาน ท่านผีห่าซาตาน เฉลยตัวเลขทันที “750 นะจ๊ะ” นักข่าวขัดคอทันทีว่า “ท่านเติมคำว่าเมตรด้วยสิครับ ไม่งั้นคนจะนึกว่าให้หวย!” (ฮา)
เมื่อหลายปีก่อน มีการจัดแซววาทีกันที่ ศูนย์ประชุมเเห่งชาติสิริกิตติ์ โปรโมทการท่องเที่ยว วันนั้นผมไม่มีคิวขึ้นพูด แต่ก็ไปเดินเตร่ๆ เก็บข้อมูลอยู่ในบริเวณงาน รายการแซววาทีก็เกิดเหตุยุ่งๆ เฉพาะหน้า คือ ผู้ดำเนินรายการมาสาย คนในห้องประชุมรอฟังมานานเกิน 2 ชั่วโมง ชักเริ่มเซ็งเป็ด จึงปรบมือโห่ รศ.สุขุม นวลสกุล โทรศัพท์แนะนำ ผู้ดำเนินรายการ ว่า ควรมีรายการหน้าม่านไปพลางๆ เพื่อซื้อเวลาก่อนจะเริ่มรายการแซววาที หลังจากคุยตกลงกันเสร็จ รศ.สุขุม นวลสกุล โทรมาหักดิบผมว่า
“เฮ้ย..รบกวนหน่อยสิ อีก 5 นาที คุณช่วยมาขึ้นทอล์คโชว์ขัดตาทัพรับหน้าเสื่อให้ที คืองี้ ผู้ดำเนินรายการมาสาย คาดว่ากว่าจะมาถึงคงจะไม่น้อยๆ กว่า 30 นาที ขืนปล่อยให้เวทีว่างสงสัยจะบรรลัย คุณพูดหัวข้อนี้นะ เที่ยวให้เป็นเล่นกันอย่างไร”
ผมก็อ่ะจ๊ากอ่ะดิ! ท้วงติงกลับไปฉับพลันว่า “ผมไม่มีความรู้ในประเด็นนี้ แล้วจะให้ผมพูดได้ไงล่ะครับ” ได้ผลครับได้ผล ได้ผลร้ายเล็กๆ รศ.สุขุม นวลสกุล ท่านก็ปรี๊ดทะลักว้ากสวนมาทันทีว่า “บ๊ะ! เงินใส่ซองรอจ่ายอยู่ตรงหน้า ถ้าคุณไม่มีปัญญาขึ้นพูดเพื่อเซ็นรับซอง ต่อไปคุณอย่าริอ่านเป็นวิทยากรเลย นี่..คุณฟังผมนะ ถ้าอีก 5 นาที คุณขึ้นเวทีไม่ได้ก็เลิกคุยกันไปเลย” อ้าววววว..อาจารย์สอน ประชาธิปไตย ทำไมถึงใช้วิธี เผด็จการ (ต่ะ-แหล้ม ๆๆ)
ปริ๊ด ปรี้ ปริ๊ด ความอัศจรรย์มีจริงครับ พี่..น้องงงงง! ในขณะที่ผมกำลัง คิดๆ เท่าไร..คิดไม่ออกสักที ในเวลาอันฉับพลันนั้น แสงปลายอุโมงค์ก็สว่างวาบเข้ามา! ไอ้น้องวัยรุ่น เพิ่งจะคายหัวนมพลาสติกหมาดๆ เขาแต่งตัวหล่อเรียบร้อย เดินเข้ามาสวัสดีแล้วทักผมว่า
“อาจารย์ดอดมาเก็บเหยื่อในงานเหรอครับ” (ฮา) ผมหัวเราะแล้วตอบไปว่า “ทำนองนั้นเลยแหละครับ น้องก็มาอ่อยเหยื่อด้วยล่ะสิ” ไอ้น้องวัยรุ่น นิสัยน่ารัก เขายิ้มแล้วบอกผมว่า “เปล่าครับ ผมเป็นฝ่าย วิชาการของ ททท. มาดูแลงานครับ” ผมเบิ่งตาโตยิ่งกว่าเงาของไข่ห่าน
“ว้าว! ฟ้าดินส่งน้องมาช่วยผมเหรอ นี่ถ้าน้องไม่เดินเข้ามา ผมกำลังจะกลายเป็นเหยื่อแหงๆ ผมโดนท่าน รศ.สุขุม นวลสกุล บังคับให้พูดเรื่อง เที่ยวให้เป็นเล่นกันอย่างไร ผมนี่ไปไม่เป็น เพราะผมไม่รู้ว่า เที่ยวให้เป็นเขาเที่ยวกันยังไง อีก 2 นาที ผมกำลังจะโดนประหารกลางเวที น้องช่วยกู้ชีวิตผมหน่อย น้องสอนผมเดี๋ยวนี้ใส่เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ เที่ยวให้เป็นเล่นกันอย่างไร เหรอครับ”
แค่นี้ก็เหลือแหล่แล้วล่ะครับ” โอ้ววววว มายก๊อดดดดด!
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะปาฏิหาริย์ มันคือ ผลพวงของกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดีแท้ๆ ตั้งแต่ผมอาสาบรรยายถวายความรู้ให้พระฟรี 35 ปี ไม่มีชาร์ต ผมไม่เคยอับจนเรื่องมุก และความรู้แม้แต่ครั้งเดียว ผมเชื่อแบบไม่มีข้อสงสัยว่า เรายิ่งให้วิทยาทานปัญญาก็จะยิ่งบานยิ่งผลิแย้ม
หากเราเล่ามุกให้วัดนี้ฟัง 7 มุก พระวัดนี้อดใจไม่ได้ ท่านจะเล่าคืนเราบ้างสัก 2 มุก เราก็จะมีกระสุนเพิ่มขึ้นเป็น 9 มุก ถ้าเราไม่หวงวิชา เล่ามุกให้วัดนั้นฟัง 9 มุก มรรคทายกวัดนั้นทนไม่ได้ เขาก็จะเล่าคืนเราอีกสัก 3 มุก เราจะมีกระสุนเพิ่มขึ้นเป็น 12 มุก
ผมอายุเกือบเยอะเลื่อนระดับลงไปเป็นศิษย์ เด็กหนุ่มอายุน้อยนิดยกระดับขึ้นไปเป็นกูรู ผมนี่ไหว้ปะหลกๆเลย
เห็นได้ชัดว่า เราเก่งเรื่องนี้แต่ยี้เรื่องนั้น ถ้าปล่อยให้ก็สิ้นลมได้ง่าย เพราะว่า ระบบมันไหลเวียนลำบาก ใครใจแคบมีแววว่า น่าจะนอนก่อนวัย ใครขยายหัวใจให้กว้างขึ้นอย่างเหมาะสม ชีวิตจะอุดมไปด้วยความสวัสดี!
ผมชื่นชม สุนทรพจน์คำโต๊โต ของ นางอินทิรา คานธี กล่าวเอาไว้ใน วันครู ของ อินเดีย โดนใจเล็กๆ ของผม มันมีผลกระทบทำให้หัวใจมันพองแบบบิ๊กๆ สุนทรพจน์นั้นมีสาระ สวดดดดด ยวดดดดด ดังต่อไปนี้
“สมมุติว่า ฉันมีเงินอยู่ 1 รูปี และ ครูมีเงินอยู่ 1 รูปี ถ้าเราเอามาแลกกัน เราสองคนยังคงมีเงินอยู่คนละ 1 รูปี เท่าเดิม แต่ทว่า ถ้าฉันมีอยู่ 1 ความคิด และ ครูมีอยู่ 1 ความคิด ถ้าเราเอามาแลกกัน เราสองคนจะมี ความคิดเพิ่มขึ้นเป็นคนละ 2 ความคิด”
โอ้โห! ใครที่เกิดมา ไม่รวย ไม่มีตำแหน่ง ไม่ได้เรียน ป.ตรี ไม่ค่อยจะมีตังค์ แต่ทว่า ถ้ามีความคิดที่ผลิตออกมาเป็น พระสุตตันตปิฎก ถึงแม้ว่าโดยข้อเท็จจริง ท่าน ไม่ได้กระจอก แต่ผมก็จะขอตอกย้ำด้วยการกราบเท้าว่า ท่านไม่กระจอกจริงๆ ผีห่าซาตาน ที่ยังคงมีฤทธิ์ก็ไม่ใช่ผีกระจอก
เขาหมดฤทธิ์แต่ยังบอกทางหนีทีไล่ให้เราหลบหนีโจร เขาก็ยังไม่กระจอกอยู่ดี ตราบใดที่ยังมีดีจะไม่มีคำว่ากระจอก พนักงานที่รู้ว่า พนัก แปลว่า ที่พิง และ งาน แปลว่า ภาระ พนักงาน คือ ที่พึ่งพิงของภาระ เขาก็ไม่กระจอก!