สิทธิการฟ้องคดี กรณีถูกยกเลิกทะเบียนตำรับยา!

14 พ.ค. 2566 | 06:30 น.

สิทธิการฟ้องคดี กรณีถูกยกเลิกทะเบียนตำรับยา! : คอลัมน์อุทาหรณ์จากคดีปกครอง โดย นายปกครอง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,887 หน้า 5 วันที่ 14 - 17 พฤษภาคม 2566

 

เชื่อว่าคุณผู้หญิงหรือสุภาพสตรีหลายท่าน ... ที่ประสบกับปัญหาใบหน้ามีริ้วรอย หย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ ซึ่งมีวิธีการแก้ปัญหาหลายรูปแบบตามจริตหรือตามใจชอบ หนึ่งในนั้นก็คือการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) แต่จะฉีดโบท็อกซ์ทั้งทีก็ต้องตรวจสอบดูกันให้ดีๆ นะครับ โดยต้องฉีดของแท้ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. และนำเข้ามาจากผู้ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมาย เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างหลายๆ เคส 

 

วันนี้ ... นายปกครองก็ได้นำคดีปกครองที่น่าสนใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับมาตรฐานหรือคุณภาพของโบท็อกซ์มาฝาก โดยเป็นกรณีของผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการค้ายา เครื่องมือแพทย์ และเครื่องสำอาง ที่ได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ยี่ห้อหนึ่ง และเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้นำหรือสั่งยาตัวนี้เข้ามาขายในประเทศไทยได้ แต่แล้วก็เกิดปัญหาวุ่นๆ เกี่ยวกับมาตรฐานของโบท็อกซ์ยี่ห้อที่ว่า จนต้องมีการขอยกเลิกทะเบียนตำรับยา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลปกครอง เรื่องราวของคดีเป็นอย่างไร นายปกครองจะเล่าให้ฟังกันครับ... 

 

มูลเหตุของคดีมีอยู่ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ยี่ห้อหนึ่ง แต่ต่อมาได้รับหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ให้ระงับการนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไว้ชั่วคราว รวมทั้งให้เรียก เก็บคืนยาในท้องตลาด จนกว่าผู้ผลิตในต่างประเทศจะได้รับอนุญาตให้ผลิตได้ เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 

 

 

ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือขอยกเลิกทะเบียนตำรับยาดังกล่าว แต่ยังไม่ทันที่ อย. จะมีคำสั่งยกเลิกตามคำขอ ผู้ฟ้องคดีก็ได้มีหนังสืออีกฉบับไปถึง อย. เพื่อขอถอนคำขอยกเลิกทะเบียนตำรับยา และขอรับคืนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา (ผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งจากผู้ผลิตว่าศาลในต่างประเทศได้สั่งให้ระงับคำสั่งเพิกถอนการอนุมัติยาพิพาท และให้ระงับการเรียกคืนยาในท้องตลาดเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด) 

 

ต่อมา เลขาธิการ อย. ได้มีคำสั่งยกเลิกทะเบียนตำรับยาตามคำขอแรกของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือขอให้พิจารณาทบทวนเพื่อให้มีคำสั่งใหม่ แต่ได้รับหนังสือแจ้งตอบกลับมาว่า ทะเบียนตำรับยาที่พิพาทได้ถูกยกเลิกด้วยความสมัครใจตามคำขอของผู้ฟ้องคดีเอง จึงให้ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยาใหม่ 

 

 

สิทธิการฟ้องคดี กรณีถูกยกเลิกทะเบียนตำรับยา!

 

 

ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งที่ยก เลิกทะเบียนตำรับยาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2) คืนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันที่พิพาทให้แก่ผู้ฟ้องคดี ... คดีนี้ ศาลปกครองชั้นต้นไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา ผู้ฟ้องคดีจึง ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด 

 

 

คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลปกครองหรือไม่? 

 

ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า การที่เลขาธิการ อย. ได้มีคำสั่งยกเลิกทะเบียนตำรับยาของผู้ฟ้องคดี เป็น การใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งนี้ แม้ว่าผู้ฟ้องคดีจะได้มีหนังสือขอยกเลิกทะเบียนตำรับยาโดยความสมัครใจก็ตาม แต่ในระหว่างที่เลขาธิการ อย. ยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอถอนคำขอยกเลิกทะเบียนตำรับยาฉบับแรกแล้ว  ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากคำสั่งยกเลิกทะเบียนตำรับยาที่พิพาท ที่ระบุเหตุผลว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ขอยกเลิก ทั้งๆ ที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอถอนคำขอยกเลิกก่อนที่เลขาธิการ อย. จะมีคำสั่งดังกล่าวแล้ว และคำขอให้เพิกถอนคำสั่งพิพาทเป็นคำขอที่ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับได้ ผู้ฟ้องคดีจึงมี สิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง 

 

ในส่วนการอุทธรณ์คำสั่งพิพาท อันเป็นเงื่อนไขที่ผู้ฟ้องคดีจะต้องดำเนินการก่อนนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 นั้น เมื่อพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ไม่ได้กำหนดเรื่องการอุทธรณ์คำสั่งไว้โดยเฉพาะ หากผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง จึงต้องใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ออกคำสั่งตามมาตรา 44 ประกอบกับมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ (กฎหมายกลางที่เป็นหลักในการพิจารณาทางปกครองของเจ้าหน้าที่) และเมื่อผู้ออกคำสั่งไม่ได้ระบุในคำสั่งแจ้งสิทธิการอุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่ง เพื่อให้ผู้รับคำสั่งทราบว่ามีสิทธิอุทธรณ์ต่อใคร ภายในกำหนดเวลาใด ทำให้ระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์คำสั่งขยายออกเป็น 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว 

 

เมื่อปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้ทราบคำสั่งที่ยกเลิกทะเบียนตำรับยาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2563 การที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ขอให้เลขาธิการ อย. ทบทวนคำสั่งดังกล่าว และต่อมา เลขาธิการ อย. ได้มีหนังสือลงวันที่ 21 ธันวาคม 2563 แจ้งผู้ฟ้องคดีว่า ทะเบียนตำรับยาที่พิพาทถูกยกเลิกด้วยความสมัครใจของผู้ฟ้องคดี อันเป็นกรณีที่ผู้มีอำนาจได้พิจารณาสั่งการโดยปฏิเสธคำอุทธรณ์ จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คือได้อุทธรณ์คำสั่งก่อนที่จะนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลแล้ว โดยผู้ฟ้องคดีได้รับหนังสือปฏิเสธดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาได้ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คร. 127/2565) 

 

สรุปได้ว่า … ผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองกรณีขอเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง จะต้องเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากคำสั่งพิพาท โดยมีคำขอที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะกำหนดคำบังคับได้ และจะต้องดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายภายในฝ่ายปกครอง คือ ต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้มีอำนาจเพื่อให้พิจารณาทบทวนโดยมีการสั่งการหรือไม่สั่งการภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเสียก่อน จึง จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองได้ และเมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมายื่นฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาการฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง รวมทั้งไม่เป็นการฟ้องซ้อน ฟ้องซํ้า หรือดำเนินกระบวนพิจารณาซํ้า ศาลปกครองจึงรับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้ ... นั่นเองครับ 

 

อย่างไรก็ตาม นายปกครองขอฝากทิ้งท้ายสักนิดสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งทางปกครอง ที่ควรต้องแจ้งสิทธิอุทธรณ์ดังกล่าวให้ผู้รับคำสั่งทราบด้วย หากมิได้แจ้งจะส่งผลให้ระยะเวลาการอุทธรณ์คำสั่งขยายออกเป็นภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้รับคำสั่งได้รับแจ้งคำสั่งพิพาทนั้น อันเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญครับ! 

 

(ปรึกษาคดีปกครองได้ที่ สายด่วนศาลปกครอง 1355)