เครื่องหมายจราจร... ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณไฟ ป้ายจราจร รวมถึงเครื่องหมายอื่นๆ บนท้องถนนที่กำหนดให้ผู้ขับขี่อย่างเราๆ ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และไม่กระทำการฝ่าฝืนหรือขัดต่อเครื่องหมายจราจรดังกล่าว ก็เพื่อควบ คุมการจราจรให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัยต่อผู้ใช้ทาง แต่ทว่าบางที... ก็อาจทำให้ผู้ขับขี่เกิดความรู้สึกขัดอกขัดใจอยู่บ้าง เพราะรถก็ติ๊ด...ติด แถมยังมีการติดตั้งป้ายจราจรในจุดที่ไม่เหมาะสม จนอาจทำให้เกิดปัญหาการจราจรเพิ่มขึ้นไปอีก เช่นนี้ จะทำอย่างไรดี...
วันนี้ ... นายปกครองมีตัวอย่างคดีมาไขข้อสงสัย กรณีเกี่ยวกับปัญหาการติดตั้ง “ป้ายจราจร” ซึ่งมีทั้งป้ายบังคับ ป้ายเตือน ป้ายแนะนำ โดยที่เราจะคุยกันเป็นเรื่องของป้ายบังคับห้ามกลับรถในจุดที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ที่อยู่อาศัยใกล้เคียงเคยใช้กลับรถเป็นประจำ จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนเจ้าป้ายพิพาทนี้ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว!
คดีลักษณะดังกล่าวจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองภายในกำหนด เวลาใด ตามนายปกครองมาเลยครับ...
เรื่องราวของคดีมีอยู่ว่า... ณ บริเวณทางแยกที่ตั้งอยู่บนถนนสาย หลักแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่พักอาศัยของผู้ฟ้องคดี ได้มีการติดตั้งป้ายจราจรกำหนดห้ามรถทุกชนิดกลับรถ ยกเว้นรถจักรยานยนต์ ทำให้ผู้ฟ้องคดีและผู้ที่สัญจรผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่สามารถกลับรถบริเวณทางแยกที่พิพาทได้ เป็นผลให้ต้องขับรถเป็นระยะทางไกลขึ้นในการกลับรถ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดที่ส่งผลต่อเนื่องไปยังที่ใกล้เคียงอื่นๆ ทั้งยังทำให้เกิดปัญหามลพิษ เพิ่มการใช้เชื้อเพลิงและสิ้นเปลืองเวลามากขึ้นด้วย
ผู้ฟ้องคดีเคยร้องเรียนปัญหาดังกล่าวไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีผ่านทางเว็บไซต์ www.1111.go.th ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องไปยังตำรวจภูธรภาค (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) แต่ไม่ได้รับการแจ้งผลแต่อย่างใด จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้เปลี่ยนกฎห้ามกลับรถเป็นกลับรถได้ตลอด 24 ชั่วโมง ของทุกวัน ซึ่งก็คือการขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนป้ายจราจรห้ามกลับรถในจุดที่พิพาทนั่นเอง
คดีมีประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาก่อนว่า... การฟ้องเพิกถอนป้ายจราจรห้ามกลับรถบริเวณทางแยกที่พิพาทเป็นคดีปกครองประเภทใด และต้องฟ้องภายในกำหนดเวลาใด ?
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงและเป็นผู้ใช้ทางสัญจรที่ไม่สามารถกลับรถบริเวณทางแยกดังกล่าวได้ ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากป้ายจราจรห้ามกลับรถ และคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ประสงค์ให้เพิกถอนป้ายพิพาทเป็นคำขอที่ศาลมีอำนาจกำหนดคำบังคับได้
โดยที่ป้ายจราจรห้ามกลับรถดังกล่าวมุ่งหมายใช้บังคับเฉพาะกับผู้สัญจรบริเวณจุดที่พิพาทนั้น อันมีลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครองทั่วไป (มิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับเป็นการทั่วไป อันเป็นลักษณะของกฎ และมิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจง อันเป็นลักษณะของคำสั่งทางปกครอง) ซึ่งการฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทั่วไป ผู้ฟ้องคดีสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้โดยไม่ต้องดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายก่อนยื่นฟ้องคดีต่อศาลตามมาตรา 42 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กล่าวคือ ไม่ต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้มีอำนาจพิจารณา ก่อนนำคดีมาฟ้องคดีต่อศาล
อย่างไรก็ตาม การที่ศาลจะรับ คำฟ้องได้ ยังต้องพิจารณาเงื่อนไขในเรื่องระยะเวลาการฟ้องคดีด้วย ซึ่งการฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทั่วไปถือเป็นคดีปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ที่ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี (มาตรา 49) เมื่อผู้ฟ้องคดีเคยร้องเรียนปัญหานี้ไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีผ่านทางเว็บไซต์ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 จึงถือว่าอย่างช้าที่สุดที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีคือ วันที่มีการร้องเรียน และต้องนำคดีมาฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันดังกล่าว การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 จึงเป็นการฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว
เมื่อการฟ้องคดีนี้มิได้เข้าข้อยกเว้น (มาตรา 52) ที่ศาลจะรับคำฟ้องได้แม้พ้นกำหนดเวลาแล้ว คือ มิได้เป็นการฟ้องคดีเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือผลของคดีจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีประชาชนที่พักอาศัยหรือใช้ทางสัญจรในบริเวณที่พิพาทดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากป้ายจราจรที่พิพาทอย่างไร และไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีมีเหตุจำเป็นใดที่ทำให้ไม่สามารถนำคดีมาฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวได้ ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นพ้องด้วย (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 941/2565)
กล่าวโดยสรุปได้ว่า… กรณีที่ประชาชนเห็นว่า ตนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากป้ายจราจรในบริเวณที่ใช้เป็นเส้นทางสัญจร เช่น ป้ายจราจรห้ามกลับรถที่มีการติดตั้งไม่เหมาะสม สามารถใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการติดตั้งป้ายจราจรดังกล่าวได้ โดยถือเป็นการฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทั่วไป (มุ่งหมายใช้บังคับเฉพาะพื้นที่หรือบริเวณที่กำหนดโดยไม่อาจระบุตัวบุคคลที่อยู่ในบังคับแบบเจาะจงได้) ซึ่งไม่ต้องอุทธรณ์คำสั่งก่อนนำคดีมาฟ้องต่อศาล อันต่างจากการฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง (มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจง เช่น คำสั่งให้เจ้าของรื้อถอนอาคาร คำสั่งลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่) ที่จะต้องอุทธรณ์คำสั่งก่อนฟ้องคดี
นอกจากนี้ ยังต้องยื่นฟ้องคดีภายในกำหนดเวลาการฟ้องเพิกถอน คำสั่ง คือ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ส่วนกรณีที่ศาลจะรับคำฟ้องที่ยื่นพ้นกำหนดเวลาไว้พิจารณาได้หากเข้าข้อยกเว้น นั้น จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีไปว่าเข้าลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่... นั่นเองครับ
ท้ายนี้ ในฐานะผู้สัญจรควรต้องตระหนักในการใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง “ง่วง - เมา - โทร ไม่ขับ” เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทุกคน ที่สำคัญคือ “เคารพกฎ ช่วยลดอุบัติเหตุ” ได้นะครับ
(ปรึกษาคดีปกครองได้ที่สายด่วนศาลปกครอง 1355)