การเปิดกว้างของสังคมนิยมที่มีต่อศาสนาในจีน (จบ)

15 พ.ย. 2568 | 23:30 น.
อัปเดตล่าสุด :16 พ.ย. 2568 | 01:06 น.

การเปิดกว้างของสังคมนิยมที่มีต่อศาสนาในจีน (จบ) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีนฉบับ 4149 หน้า 4

KEY

POINTS

  • รัฐบาลจีนมีนโยบายให้ศาสนา “ปรับตัว” เข้ากับสังคมนิยม โดยใช้กรณีศึกษาของซินเจียง เป็นต้นแบบในการเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจเข้ากับความมั่นคง เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและแนวคิดสุดโต่ง
  • ยุทธศาสตร์หลักในการปกครองซินเจียง ประกอบด้วย 2 เสาหลัก คือ การรักษาความมั่นคงทางสังคมผ่านการสร้างอัตลักษณ์ร่วมของชาติ และ การสร้างสันติภาพระยะยาวผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
  • ผลลัพธ์ของนโยบายในซินเจียง คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ การขจัดความยากจนได้สำเร็จ และไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายรุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2017

จากคำกล่าวของ สี จิ้นผิง ที่ว่าศาสนาในจีนควร “ปรับตัวต่อไป” (Further Adapt) กับสังคมสังคมนิยม เราไปเรียนรู้ประเด็นนี้ผ่านสมุดปกขาว “แนวทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนสำหรับการปกครองซินเจียงยุคใหม่: แนวปฏิบัติและความสำเร็จ” ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนกันยายน 2025 กันครับ ...

ซินเจียงที่ตั้งอยู่ในบริเวณ “หางไก่” ด้านซีกตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ซ่อนไว้ซึ่งความท้าทายทางศาสนาที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ทั้งนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้เรียนรู้จากการเผชิญกับความท้าทายของโลกในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับมาของลัทธิหัวรุนแรง การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการพยายามบรรลุการแก้ไขปัญหาความยากจน 

เราเห็นการก่อการร้ายที่กระจัดกระจายเข้ามาแทนที่สนามรบขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน วิกฤตการณ์ในภูมิภาคดังกล่าว ยังได้เน้นย้ำถึงความสําคัญของการเชื่อมโยงเอเชียกลาง-ยูเรเชีย ในฐานะ “เส้นทางเลือก” เพื่อการพัฒนาในระยะยาว 

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ พบว่า มีประชากรกว่า 800 ล้านคนทั่วโลก ที่อาศัยอยู่ในความยากจนสุดขีด โดยในจำนวนนี้ ราว 250 ล้านคน ตั้งอยู่ในเขตแห้งแล้ง ที่ราบสูง และ ขอบทะเลทราย ซึ่งเป็นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายคลึงกับซินเจียง

ในฐานะหนึ่งในภูมิภาคของจีน ที่เคยประสบกับความยากจนในระดับที่ใหญ่ที่สุดและรุนแรงที่สุด โดยอัตราความยากจนในซินเจียงตอนใต้ เคยสูงถึง 2 ใน 3 ของทั้งหมด ขณะเดียวกัน จีนก็มองว่า “ถ้าไม่มีความมั่นคงก็ไม่ต้องหวังความเจริญ” เท่ากับว่า วัฏจักรของลัทธิหัวรุนแรง และความยากจน จะไม่อาจยุติลงได้ หากปราศจากความมั่นคง โดยในระหว่างปี 2009-2014 จีนเผชิญกับ “ปัญหาชายแดน” อยู่มาก โดยซินเจียงคิดเป็นกว่า 70% ของเหตุการณ์รุนแรงของจีน 

ในประเด็นนี้ สมุดปกขาวได้กำหนด “กลยุทธ์ของ CPC ในการปกครองซินเจียงในยุคใหม่” โดยอาศัย 2 เสาหลัก เสาแรก มุ่งเน้นไปที่การรักษาความมั่นคงทางสังคม และอีกเสาหนึ่งได้แก่ สันติภาพและความสงบเรียบร้อยในระยะยาว อันนำไปสู่การกํากับดูแลชุมชนเป็นประจํา และการลดความรุนแรงที่ครอบคลุม 

นี่เป็นการสร้างความรู้สึกของชุมชนสําหรับชาติจีน เสาหลักแรกนี้ยกระดับ “อัตลักษณ์” ทางวัฒนธรรมเพื่อครอบคลุมโอกาสทางเศรษฐกิจที่ใช้ร่วมกัน ภาษากลาง (ภาษาจีนกลาง) และค่านิยมที่เป็นหนึ่งเดียว (ค่านิยมหลักของสังคมนิยม) ซึ่งเป็นความพยายามใน “การเพิ่มอัตลักษณ์” มากกว่า “การดูดซับและการลบล้าง” โดยอาศัยการประสานงานเชิงกลยุทธ์ด้วยการคิดอย่างเป็นระบบ การรวมหัวใจและจิตใจผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชนและการสนทนา การทําให้ศาสนามีบริบทของความเป็นจีนผ่านการรวมค่านิยมดั้งเดิมของจีนเข้ากับการปฏิบัติทางศาสนาสมัยใหม่  

ขณะเดียวกัน ซินเจียงก็จัดลําดับความสําคัญของการดํารงชีวิตของประชาชน โดยการเสริมสร้างโครงการสวัสดิการสังคม และปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพ การแสวงหาการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและนวัตกรรม และรักษาบทบาทนําของพรรคฯ

ผลจากความพยายามในการดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูง ทำให้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของซินเจียง โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง และมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสําคัญ 

กล่าวคือ จีดีพีของซินเจียงเพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 0.75 ล้านล้านหยวนในปี 2012 เป็นกว่า 2 ล้านล้านหยวนในปี 2024 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งหวังของรัฐบาลจีน ในการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค

ขณะเดียวกัน ซินเจียงใช้เงินกว่า 70% ของการใช้จ่ายงบประมาณสาธารณะประจําปี เพื่อการปรับปรุงการดํารงชีวิตของคนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงมาตรฐานทางการแพทย์ การสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความก้าวหน้าในการคุ้มครองระบบนิเวศและธรรมาภิบาล และระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้นสําหรับผู้อยู่อาศัย 

ความโดดเด่นอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการขยายกําลังการผลิตพลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ รวมของซินเจียงที่ทะลุหลัก 80 GW ซึ่งคิดเป็นเกือบ 10% ของปริมาณโดยรวมของจีน และทําให้ซินเจียง เป็นหนึ่งในฐานการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในยูเรเซีย

อีกตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ การลงทุนก่อสร้างสถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในใจกลางทะเลทรายทาคลามากัน (Taklamakan) ที่นวัตกรรมการกํากับดูแล ต้องผ่านการทดสอบความท้าทาย ที่พยายามแสวงหาความสมดุลระหว่างความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรือง ตลอดจนระหว่างธรรมาภิบาลและการพัฒนา 

ในแง่ของความปลอดภัย ไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายที่รุนแรงนับแต่ปี 2017 ซินเจียงประสบความสําเร็จอย่างมาก ในการช่วยให้คนยากจนในชนบทหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยความยากจนในภูมิภาคนี้ ถูกกําจัดให้หมดไปภายในสิ้นปี 2020 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระดับชาติ 

ขณะเดียวกัน อายุเฉลี่ยในคนซินเจียง ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราว 30 ปีในปี 1949 เมื่อเริ่มก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นราว 77 ปีในปี 2024 
ในด้านการพัฒนาทางวัฒนธรรม องค์ประกอบของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ทั้งหมด 12 ประการ อาทิ การแสดงอุยกูร์ “Muqam” และมหากาพย์คีร์กีซ “Manas” ได้รับการแปลงเป็นดิจิตัลและเก็บถาวรอย่างพิถีพิถัน ส่งผลให้ผู้ชมทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในหลากหลายภาษา

จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ความปลอดภัย การพัฒนา และการสร้างอัตลักษณ์ไม่ใช่ “3 เอกภาพที่เป็นไปไม่ได้” แต่เป็นวัฏจักรคุณธรรมเชิงปริมาณ ที่ทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า คนท้องถิ่นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจแตกต่างจาก “ข้อกล่าวหา” ของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร

โดยรวมแล้ว แนวทางปฏิบัติเหล่านี้ได้สร้าง “ชุดเครื่องมือการกํากับดูแลชายแดน” ที่ทําซ้ำได้ และถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อน และส่งเสริมความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคต่างๆ หรือ อาจกล่าวได้ว่า แม้ว่าสมุดปกขาวเป็นเรื่องเกี่ยวกับจีน ผ่านโมเดลความทันสมัยของซินเจียง แต่ก็มีความหมายในวงกว้างสําหรับประเทศอื่นๆ ของโลกด้วย 

สําหรับการต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก กลยุทธ์นี้สร้างกรอบกฎหมายและมาตรการที่เป็นระบบสําหรับ “การลดลัทธิหัวรุนแรงเชิงป้องกัน” โดยเน้นไปที่การพัฒนาด้านอาชีวศึกษา การพัฒนาภาษา และการแทรกแซงทางจิตวิทยาควบคู่กันไปเป็นสำคัญ

สําหรับประเทศและภูมิภาค ตาม “ข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (BRI) จีนยังนำเสนอแนวทาง 3 ส่วนอันได้แก่ “เส้นทาง-ศูนย์กลาง-อุตสาหกรรม” ซึ่งรวมการวางแผนการพัฒนาสนามบิน ท่าเรือ ทางรถไฟ และนิคมพลังงานหมุนเวียน และอื่นๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ พลังงาน และการจ้างงานไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นเสมือนการหลีกเลี่ยงการสร้าง “เส้นทางกลวง” ที่จับต้องไม่ได้

สิ่งนี้ตอกย้ำถึงเส้นทางที่ถูกต้องในการสร้างสมดุล ระหว่างการพัฒนาและความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ความก้าวหน้าของความทันสมัยของจีนในซินเจียงอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาความมั่นคงทางสังคมและสันติภาพระยะยาวในภูมิภาค

ยิ่งในกรณีของประเทศที่มีหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ กลยุทธ์นี้ยังช่วยสรุปเส้นทาง “การปรับปรุงอัตลักษณ์” โดยเปลี่ยนความแตกต่างทางชาติพันธุ์จาก “อุปสรรค” เป็น “สินทรัพย์” โดยกระทําผ่านตลาดร่วม บริการสาธารณะ และแพลตฟอร์มวัฒนธรรมดิจิตัล

สมุดปกขาวนี้จึงไม่ใช่ “จุดสิ้นสุด” ที่ซินเจียง แต่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของการพัฒนาที่เปิดกว้างสำหรับนานาประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม Global South ที่จะได้เรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและการปรับศาสนาให้อยู่ในบริบทของจีนอย่างยั่งยืนในระยะยาว ...

คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีนฉบับ