KEY
POINTS
คุยกันต่อเลยว่า จีนทำอะไรอีกบ้างเพื่อให้ศาสนาปรับเข้าสู่บริบทของจีน ...
ขณะเดียวกัน สี จิ้นผิง ก็เน้นย้ำถึงความสําคัญในการทํางานของพรรคฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรทางศาสนา และรัฐบาลจีนที่สะท้อนถึงความจําเป็นในการสร้างความเป็นผู้นําที่แข็งแกร่ง รักษาและพัฒนาทฤษฎีทางศาสนาของสังคมนิยมที่มีลักษณะจีน ทํางานให้สอดคล้องกับนโยบายพื้นฐานของพรรคฯ เกี่ยวกับกิจการทางศาสนา และรักษาหลักการที่ว่า ชาวจีนต้องเป็นผู้วางแนวของศาสนาในจีน
นอกจากนี้ พรรคฯ ยังต้องพยายามรวบรวมผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาในส่วนที่เชื่อมโยงกับพรรคฯ และรัฐบาลจีน ส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวกและมีสุขภาพอันดีระหว่างศาสนา สนับสนุนกลุ่มศาสนาในการพัฒนาองค์กร และปรับปรุงการจัดการกิจกรรมทางศาสนาภายใต้หลักนิติธรรม
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่สะท้อนว่า จีนเปิดกว้างในการนับถือศาสนาในจีนและพยายามให้เกิดเป็นรูปธรรมก็คือ จีนเดินหน้าการดําเนินการตามนโยบายของพรรคฯ อย่างจริงจังเกี่ยวกับ “เสรีภาพ” ในความเชื่อทางศาสนา เคารพความเชื่อทางศาสนาของภาคประชาชน จัดการกิจการทางศาสนาตามกฎหมาย ยึดมั่นในหลักการของความเป็นอิสระและการจัดการตนเอง และแนะนําศาสนาอย่างแข็งขันเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมสังคมนิยม
อาทิ การเสริมสร้างการจัดการกิจการทางศาสนาออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาที่มีผลต่อการสืบทอดศาสนาในจีน ขณะที่กิจกรรมทางศาสนา ก็ควรดําเนินการภายในขอบเขตที่กฎหมายและข้อบังคับกำหนด และไม่ควรละเมิดความสงบเรียบร้อยของประชาชนและศีลธรรมอันดี แทรกแซงกิจการการศึกษา การบริหาร ตุลาการ และวิถีชีวิตทางสังคม
เราจึงเห็นว่า นอกเหนือจากการแนะนําให้ศาสนาปรับตัวเข้ากับสังคมนิยม สี จิ้นผิง ยังเน้นย้ำถึงความจําเป็นในการดําเนินการตามนโยบายของพรรคฯ เกี่ยวกับเสรีภาพในความเชื่อทางศาสนาอย่างเต็มที่ ถูกต้อง และครอบคลุม เคารพความเชื่อทางศาสนาของมวลชน จัดการกิจการทางศาสนาตามกฎหมาย
และเพื่อให้หลักการและแนวทางดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง จีนได้ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของพรรคฯ และรัฐบาลให้มีความเชี่ยวชาญในมุมมองของลัทธิมาร์กซิสต์เกี่ยวกับศาสนา คุ้นเคยกับกิจการทางศาสนา และมีความสามารถในการทํางานที่เกี่ยวข้องกับผู้มีความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งการปรับปรุงการศึกษาและกลไกการทํางานที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
ผ่านไปกว่า 7 ทศวรรษของการปกครอง พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังพยายามปรับศาสนา ให้เข้ากับบริบทของจีนอยู่ต่อไป โดยภายหลังการเดินทางเยือนซินเจียง และ ทิเบต ที่มีความอ่อนไหวในเรื่องนี้เมื่อช่วงฤดูร้อนของปี 2025 สี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำและเรียกร้องถึงความสําคัญของการสร้างความมั่นใจต่อการปรับศาสนาในจีน ให้เข้ากับบริบทของจีนต่อไป ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวที่ว่า ศาสนาในจีนควร “ปรับตัวต่อไป” (Further Adapt) กับสังคมสังคมนิยม
ด้วยการจัดตั้งระบบสังคมนิยมที่ทันสมัย การปฏิรูปและการเปิดประเทศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และการพัฒนาเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม รากเหง้าของชนชั้น ที่เป็นผู้นับถือศาสนาได้ถูกลดบทบาทพื้นฐานในจีน และศาสนาไม่ใช่เครื่องมือที่ถูกใช้โดยจักรวรรดินิยม และกองกําลังศักดินาอีกต่อไป
นอกจากนี้ จีนยังดำเนินนโยบายที่กำหนดให้กลุ่มศาสนาปรับหลักคำสอน ขนบธรรมเนียมและศีลธรรมให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมจีน การรณรงค์และดำเนินการอย่างเข้มงวดในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อศาสนาที่มีความเป็น “ต่างประเทศ” ซ่อนอยู่
อาทิ การนำไม้กางเขนออกจากโบสถ์ และรื้อถอนโดม และหอคอยของมัสยิด เพื่อปรับแต่งให้ดูเป็นจีนมากขึ้น และการปรับคำสอนทางศาสนาบางประการพร้อมคำอธิบายประกอบที่สะท้อน “ค่านิยม” สังคมนิยม
นโยบายที่เข้มงวดของจีนต่อชาวมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอุยกูร์ในซินเจียง ที่มีสัดส่วนถึงกว่า 40% ของชาวมุสลิมจีน เช่น การกักขังชาวมุสลิมในพื้นที่มากกว่า 1 ล้านคน ในค่ายกักกันที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ถูกบันทึกไว้อย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จนถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนโจมตีพรรคฯ และรัฐบาลจีนมาอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่า รัฐบาลจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาและให้ข้อมูลว่า การโยกย้ายถิ่นฐาน ค่ายพักแรม และ มาตรการบังคับอื่นมีขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่เกี่ยวข้อง ผ่านการปรับทัศนคติ การฝึกอบรมวิชาชีพ และ การต่อต้านลัทธิสุดโต่งทางศาสนา
ขณะที่ศาสนาคริสต์ก็ถูกกำหนดให้อยู่ในกฎระเบียบหลายชุด แม้ว่า ชาวคริสเตียนในจีนได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติกิจทางศาสนาในโบสถ์ “อย่างเป็นทางการ” ที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม คริสเตียนบางส่วนก็ยังคงปฏิเสธการกำกับดูแลดังกล่าว และเลือกไปปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาในคริสตจักร “ใต้ดิน” ซึ่งทำให้รัฐบาลจีนต้องเพิ่มแรงกดดัน และความเข้มงวดในการควบคุม และมีข่าวการจับกุมผู้นำคริสตจักร ที่มีชื่อเสียงและถูกคุมขังในค่ายกักกันเมื่อปปี 2018
ส่งผลให้สำนักวาติกันและจีนลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการแต่งตั้งบิชอป เพื่อช่วยบรรเทาความตึงเครียดสำหรับชาวคาทอลิกของจีน
ในกรณีของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธฮั่น ซึ่งมีเครือข่ายสาขาแพร่หลายมากที่สุดในประเทศ จีนมีระดับการผ่อนปรนมากกว่าของศาสนาคริสต์และอิสลาม โดยรัฐบาลจีนพยายามผสมผสาน ขงจื๊อ เต๋า และความเชื่อและการปฏิบัติดั้งเดิมอื่นของจีนเข้าด้วยกัน
ขณะเดียวกัน จีนก็ดูจะคุมเข้มและปราบปรามชาวพุทธทิเบตในระดับที่สูงกว่า โดยมีกระแสข่าวว่า ทางการจีนได้ถูกกล่าวหาการรณรงค์ “การศึกษาใหม่ทางการเมือง” เพื่อประสานความภักดีต่อผู้นำจีน และพยายามลดความศรัทธาที่มีองค์ดาไลลามะ ที่ถูกเนรเทศ รวมทั้งการรื้อถอนอนุสาวรีย์ อาราม และ รูปปั้นของศาสนาพุทธท้องถิ่น และประเพณีทางจิตวิญญาณโบราณ
แต่ในข้อเท็จจริงพบว่า รัฐบาลจีนสนับสนุนกิจกรรมที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “มรดกทางวัฒนธรรม” ของจีน และแนะนำจากค่านิยมสังคมนิยม นับแต่ปี 2015 รวมทั้งจัดสรรเงินทุนในการปรับปรุงวัดท้องถิ่นหลายแห่ง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของจีนที่ใน “เสรีภาพ” ในการเคารพนักปรัชญาจีน อาทิ ขงจื๊อ และจัด/เข้าร่วมกิจกรรมในเทศกาลที่มีการบูชาเทพเจ้าพื้นบ้าน เช่น Mazu (หม่าจู๋) เทพธิดาแห่งท้องทะเล หรือแม้กระทั่งนำไปใช้เป็นชื่อแอปพยากรณ์อากาศชั้นนำของจีนที่เปิดให้ต่างชาติใช้ในวงกว้าง
นอกจากนี้ กฎหมายจีนยังมองว่า นอกเหนือจากศาสนาและความเชื่อหลักดังกล่าว “ไสยศาสตร์” และ “ลัทธิชั่วร้าย” ผ่านการใช้ “คาถาและเวทมนตร์” รวมทั้งการปฏิบัติกิจดังกล่าวที่มีองค์ประกอบทางศาสนา เช่น การจุดประทัดปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย เป็นสิ่งต้องห้าม รวมไปถึงองค์กรอย่าง “ฝ่าหลุนกง” คริสจักรสามัคคี และการปลูกฝังในความเชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า
ตอนหน้าผมจะพาไปส่องสมุดปกขาว “แนวทางพรรคคอมมิวนิสต์จีน สำหรับการปกครองซินเจียงยุคใหม่: แนวปฏิบัติและความสำเร็จ” ที่กลายเป็น “ต้นแบบ” ที่แสดงว่าศาสนาในจีนควร “ปรับตัวต่อไป” (Further Adapt) กับสังคมสังคมนิยมได้อย่างไร ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4148