KEY
POINTS
คนจีนนับถือศาสนาได้หรือไม่? เป็นคำถามที่ผู้คนมักสอบถามมาอยู่บ่อยๆ หรือท่านผู้อ่านอาจนึกถามต่อว่า แล้ววันนี้ จีนที่เป็นสังคมนิยมมีมุมมองต่อศาสนาอย่างไร พัฒนาการเป็นเช่นไร? และพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดกว้างในเรื่องการนับถือศาสนาในจีนมากน้อยเพียงใด? ...
ย้อนกลับไปในยุคของการจุดประกายทางความคิด กิจกรรมการปฏิวัติทางสังคมของนักคิดชาวเยอรมัน อย่าง คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้ดําเนินการในยุโรป ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทําความเข้าใจและจัดการกับคําถามทางศาสนา ต่อมาในช่วงเปลี่ยนผ่านของศตวรรษที่ 20 วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) นักทฤษฎีและนักการเมืองเป็นผู้นําการปฏิวัติในรัสเซีย (สหภาพโซเวียต)
หนึ่งในความสําเร็จของเลนินในครั้งนั้นก็คือ การเสริมสร้างและพัฒนามุมมองลัทธิมาร์กซิสต์เกี่ยวกับศาสนา และนํามวลชนของแรงงานและเกษตรกร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ศรัทธาในศาสนา อุทิศตนให้กับการต่อสู้ของชนชั้น และนำไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของระบอบสังคมนิยม ในเดือนตุลาคม 1917 และสร้างรัสเซีย เป็น “ประเทศสังคมนิยม” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก
แม้ว่าในครั้งนั้นมีการกำหนดหลักการพื้นฐานบางส่วนของความเข้าใจ และการจัดการกับคำถามทางศาสนาอยู่บ้าง แต่นักคิดในยุคนั้นก็อาจมีประสบการณ์ในด้านนี้ที่จำกัด และไม่เพียงพอต่อการกำหนดหลักการและแนวทางที่เหมาะสม และประสบกับความยากลำบากในการปรับเข้ากับสถานการณ์จริง ของการจัดการคําถามทางศาสนาของสังคมนิยมในเวลาต่อมาได้
ภายหลังการสถาปนาเป็น “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่รับเอาระบอบสังคมนิยมจากสหภาพโซเวียต มาใช้แบบเต็มรูปแบบ จีนก็ต้องเผชิญกับความท้าทายดังกล่าวเช่นกัน
ในภาพใหญ่ ทฤษฎีสังคมนิยมที่มีลักษณะแบบจีนครอบคลุมถึงหลายภาคส่วน และเกี่ยวข้องกับ “มุมมองสังคมนิยมของศาสนาที่มีอัตลักษณ์แบบจีน” ซึ่งถือเป็นแนวทางในการทํางานในการจัดการกับคําถามทางศาสนาของสังคมนิยมจีน อันประกอบด้วย แนวคิดพื้นฐาน ทัศนคติ และ ทฤษฎีและนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเกี่ยวกับคําถามทางศาสนา
หรืออาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นผลิตภัณฑ์ทางทฤษฎีที่มีต้นกําเนิดจากมุมมองของลัทธิมาร์กซิสต์เกี่ยวกับศาสนา และพยายามปรับตัวให้ก้าวทันกับยุคสมัยที่เป็นเปลี่ยนแปลงไป เสมือนเป็นการชี้นําศาสนาให้เข้ากันได้กับ “สังคมนิยม” อย่างแข็งขันนั่นเอง
หากนับแต่ยุคหลังการเปิดประเทศสู่ภายนอกในปี 1978 อาจกล่าวได้ว่า นโยบายทางศาสนาของจีนเริ่ม “ก่อตัว” และ “เป็นรูปเป็นร่าง” เป็นครั้งแรกเมื่อราวปี 1990
โดยมีองค์ประกอบสําคัญ 3 ประการ อันได้แก่ 1) ผู้ปฏิบัติงานและผู้ชุมชนทางศาสนาถูกขอให้ “ปรับศาสนาให้เข้ากับสังคมนิยมในจีน” 2) รัฐบาลได้กําหนดชุดข้อบังคับสําหรับการลงทะเบียนสมาคมและสถานที่ทางศาสนา ตลอดจนกิจกรรมทางศาสนาของชาวต่างชาติ และ 3) สมาคมทางศาสนาจําเป็นต้องเป็นอิสระจากอิทธิพลของต่างประเทศในด้านการปกครอง การเงิน และเทศนา
ทั้งนี้ กิจกรรมทางศาสนาในบางพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทิเบตและซินเจียง ได้ก่อให้เกิดความท้าทายอย่างมากต่อรัฐ ส่งผลให้รัฐบาลจีนได้แนะนำมาตรการรักษาความปลอดภัยและข้อจำกัดที่เข้มงวดเกี่ยวกับศาสนา ส่งผลให้การดำเนินมาตรการที่เข้มงวดสร้างความไม่พอใจอย่างมาก ให้กับผู้ที่นับถือศาสนาในพื้นที่และองค์กรที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ
จีนเชื่อว่าการทําให้ทุกศาสนาต้องปรับตัวให้เข้ากับบริบททางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศเป็น “สิ่งจำเป็น” ดังนั้น การทำให้ศาสนา “มีความเป็นจีน” ไม่ได้เกี่ยวกับการจํากัดข้อปฏิบัติทางศาสนา ยกตัวอย่างเช่น กระบวนการปรับจูนพุทธศาสนาทิเบตในจีนที่รวมลักษณะจีนเข้าด้วยกัน
อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนรักษาหลักการสำคัญของศาสนาเอาไว้ และพยายามผนวกเข้ากับวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมของจีนมาโดยตลอด ส่งผลให้จีนมีเสรีภาพทางศาสนามากขึ้น แม้ว่าราว 80% ของจำนวนประชากรจีนโดยรวม จะไม่นับถือศาสนา
แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มีอยู่มากมาย และผสมผสานในเชิงสังคมวัฒนธรรม จีนก็ “ผ่านยุคสมัย” และกลายเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางศาสนาและความเชื่อ อาทิ ลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธนิกายจีน ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และ โปรเตสแตนต์ ซึ่งบางส่วนซ่อนไว้ซึ่งความเป็น “ต่างประเทศ” ที่หลักการและแนวทางอาจไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาอิสลาม คริสต์นิกายคาทอลิก และ นิกายโปรเตสแตนต์
ผลการสำรวจประเมินว่า ปัจจุบันจีนมีผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาราว 200 ล้านคน และมีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับการปฏิบัติกิจทางศาสนาที่จดทะเบียนตามกฎหมายราว 144,000 แห่ง ในช่วงหลายสิบปีหลัง ผมสังเกตเห็น “เสรีภาพ” ของชาวจีนในการไปเยี่ยมชม สักการะ และปฏิบัติกิจทางศาสนาตามวัด โบสถ์ สุเหร่า และอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นโดยลำดับ
ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเทศกาลสำคัญ อาทิ วันตรุษจีน เราอาจเห็นผู้คนไปกางเต็นท์และนอนจองคิว เพื่อรอเข้าไปไหว้พระขอพรในวัดใหญ่ หรือสถานที่ทางศาสนากันอย่างคราคร่ำ นอกจากค่าบัตรผ่านประตูเข้าวัดแล้ว คนเหล่านี้ยังยอมจ่ายเงินซื้อธูปเทียน และทำบุญกันมากมาย
อย่างไรก็ดี เสรีภาพที่เปิดกว้างขึ้นดังกล่าว ก็ยังถูกกำกับให้อยู่ภายใน “ขอบเขต” ที่กําหนดโดยพรรคฯ จีนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในรัฐบาลที่เข้มงวดที่สุดในโลก นับแต่ปี 2007 และอาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีความชัดเจนเกิดขึ้นว่า ศาสนาควรทําอย่างไรเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพของจีนต่อไป
นับแต่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำจีนในปี 2012 สี จิ้นผิง ก็พยายามปรับนโยบายของพรรคฯ เกี่ยวกับศาสนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการรักษาหลักการและอุดมการณ์มาร์กซิสต์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศาสนาในบริบทของจีน “ให้เข้ากับสังคมสังคมนิยม” มาอย่างต่อเนื่อง
ในการปาฐกถาครั้งใหญ่ในปี 2021 ผู้นำจีนได้กล่าวเน้นย้ำถึงการดําเนินการอย่างเต็มที่ตามแนวทางของพรรคฯ เกี่ยวกับกิจการทางศาสนาในยุคใหม่ นโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับกิจการทางศาสนา และนโยบายเกี่ยวกับเสรีภาพในความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งกําหนดให้กลุ่มศาสนาเสริมสร้างการจัดการตนเองและเน้นย้ำถึงความจําเป็นในการปรับปรุงหลักนิติธรรมในการกํากับดูแลกิจการทางศาสนา
นี่สะท้อนว่า พรรคฯ ได้วางแนวทางในการพัฒนาศาสนาในจีนมาอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามให้กลุ่มศาสนาและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพิ่มระดับการรับรู้เกี่ยวกับความเป็นชาติ วัฒนธรรม พรรคฯ สังคมนิยมที่มีลักษณะแบบจีน และอื่นๆ มาโดยลำดับ
แต่การทำให้หลักการและแนวทางในการปรับศาสนาในบริบทของจีนเกิดเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง นับเป็นความท้าทายยิ่ง ติดตามต่อตอนหน้า ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4147