KEY
POINTS
อย่างที่เกริ่นไปในตอนก่อนว่า แม้ต้องเผชิญกับการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด แต่อุตสาหกรรมในตันหยางกลับแปร “วิกฤติ” เป็น “โอกาส” ด้วยการตัดสินใจยกระดับ สร้างสรรค์นวัตกรรม และเปิดรับโอกาสทางการตลาดใหม่ ...
ด้วยความพร้อมของระบบนิเวศ และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตสูงของอุตสาหกรรมแว่นตา ทำให้ ตันหยาง มีความเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมแว่นตา และรักษาตำแหน่งไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลนส์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เลนส์แบบกำหนดเอง และเครื่องมือตรวจวัดที่แม่นยำมากขึ้น
ยิ่งในยุคหลังโควิด ขณะที่ผู้ผลิตในภูมิภาคอื่นต่างประสบกับความยากลำบาก ตันหยางได้ “พลิกฟื้น” สถานการณ์และกลับมาเป็นฐานการผลิตและส่งออกเลนส์และกรอบแว่นตา (เซียะเหมินเป็นอีกแหล่งผลิตแว่นตาชั้นนำของจีน) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีนอีกครั้ง
นอกเหนือ จากการพัฒนากรอบแว่นตาและเลนส์ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ตามความต้องการเฉพาะบุคคลและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวแล้ว รัฐบาลเมืองตันหยาง ยังสร้างเวทีการฝึกอบรมด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการดำเนินงานด้านดิจิตัล
รัฐบาลท้องถิ่นยังได้ออกนโยบายสนับสนุนอื่นอีกมากมาย อาทิ การยกระดับการผลิตอัจฉริยะ การสนับสนุนการจ้างงาน การคืนภาษีการส่งออก และความช่วยเหลือด้านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ตั้งแต่ “การขายสินค้า” ไปจนถึง “การส่งเสริมแบรนด์” ทำให้แว่นตาตันหยางกำลังก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นใจ ตอกย้ำแบรนด์ความเป็น “เมืองหลวงแห่งแว่นตา” ของจีน
ในปี 2021 ตันหยางได้เปิดตัวนิคมอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ซึ่งมีสตูดิโอถ่ายทอดสด พื้นที่สำนักงาน และห้องเรียนสาธารณะ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจออนไลน์ และขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบริษัทราว 20 แห่ง ที่ได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในนิคมฯ และจัดให้มี Livestreaming มากกว่า 3,600 ครั้งต่อปี
ผลจากการส่งเสริมการพัฒนาอีคอมเมิร์ซและส่วนอื่นๆ ในช่วงหลายปีหลัง ทำให้ตันหยางสามารถขยายธุรกิจ โฆษณา และส่งออกกรอบแว่นตา เลนส์ และอื่นๆ สู่ตลาดต่างประเทศอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเชียตะวันออก อาเซียน ยุโรป และ อเมริกาเหนือ โดยมีมูลค่าราว 5,000 ล้านหยวนต่อปี ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพในอัตราราว 5% ต่อปี ทำให้ตันหยางเป็นผู้นำระดับโลกด้านการขายแว่นตาอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในพื้นที่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายของสงครามการค้า 2.0 ที่กระทบต่อตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ และเปลี่ยนกลยุทธ์การมุ่งเน้นไปที่ตลาดของประเทศสมาชิก RCEP และภูมิภาคอื่น
เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ บางบริษัทในตันหยางยังออกไปลงทุนในต่างประเทศ อาทิ การจัดตั้งศูนย์ประมวลผลในสิงคโปร์และญี่ปุ่น ทำให้การขึ้นอากรนำเข้าไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก และสามารถตอบสนองต่อความต้องการผลิตภัณฑ์เลนส์ระดับไฮเอนด์ในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่บางรายได้หันมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ข้ามอุตสาหกรรม โดยขยายไปจับมือกับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์นอกพื้นที่ เพื่อดำเนินการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน จนนำไปสู่การผลิตแว่นตาอัจฉริยะที่มีความแบนและเรียบเป็นพิเศษด้วยความแม่นยำ และสามารถวางจำหน่ายในท้องตลาดได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ประการสำคัญ ท่ามกลางพัฒนาการด้านนวัตกรรมของจีนที่ผุดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งในระยะหลัง ได้ส่งผลให้เกิด “โอกาสใหม่” อย่างต่อเนื่อง อาทิ แว่นตาอัจฉริยะ และผลิตภัณฑ์ออปติคอลพิเศษเพื่อการแพทย์ และ VR/AR
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคุณสมบัติที่ได้รับจาก AI แว่นตารุ่นใหม่ยังก้าวล้ำไปอย่างมาก อาทิ การแสดงการนำทาง และ การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ทั่วโลกได้ในทันที ส่งผลให้ผู้ผลิตในตันหยาง มียอดสั่งซื้อแว่นตาอัจฉริยะล่วงหน้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ในการประชุมสำคัญครั้งหนึ่งในจีน เมื่อเร็วๆ นี้ เราได้เห็นผู้กล่าวก้าวขึ้นโพเดียมโดยไม่ได้ถือกระดาษติดตัวขึ้นไปเลย และเมื่อเริ่มกล่าวไประยะหนี่ง ผู้พูดที่ใส่แว่นตาที่ดูเป็นปกติ ก็เปลี่ยน “หน้า” ด้วยวิธีการรูดก้านแว่นที่ใส่อยู่ ทำให้การกล่าวปาฐกถามีสีสันและได้รับความสนใจจากผู้ฟังเป็นอย่างมาก
ในด้านหนึ่งสะท้อนว่า ตันหยางพร้อมในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกด้าน “นวัตกรรม” และตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของ “แบรนด์ตันหยาง” ในเวทีตลาดต่างประเทศ นั่นเท่ากับว่า จากนี้ไปหากมีการเปิดตัวนวัตกรรมแว่นตาใดๆ เกิดขึ้น ผู้คนก็จะนึกถึง “ตันหยาง” เป็นอันดับแรก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมแว่นตาและความเป็น “เมืองหลวงแว่นตา” ของตันหยางยิ่งขึ้นไปอีก
ผลจากการทุ่มเงินเพื่อการวิจัยและพัฒนาราว 20% ของมูลค่าสินค้าต่อปี กำลัง “ผลิดอก ออกผล” แถมการเปลี่ยนมาใช้แว่นตาอัจฉริยะนี้ ถือเป็นการยกระดับทางการเงินและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เพราะราคาต่อหน่วยของแว่นตาอัจฉริยะ สูงกว่าแว่นตาระดับไฮเอนด์ทั่วไปถึงราว 3 เท่า ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวมได้อย่างมาก
มองไปในอนาคต อุปสงค์การใช้แว่นตาคุณภาพสูง จะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุ การเพิ่มชั่วโมงการใช้งานเครื่องมือดิจิตัล และแนวโน้มของผู้บริโภคที่นิยมใส่แว่นตาเพื่อป้องกันตาจากภายนอก อาทิ แสงแดด รังสียูวี และ แสงสีน้ำเงิน หรือ แม้กระทั่งเหตุผลเพื่อแฟชั่น
ตลาดโลกยังเปิดโอกาสสำหรับแว่นตาตามหน้าที่การใช้งาน (Function) และ นวัตกรรมสินค้าและบริการ อาทิ แว่นตาที่ติดตั้ง AI และ AR เหล่านี้ยังนำไปสู่ความต้องการใช้แว่นตาควบคู่ไปด้วย
สถิติระบุว่า ในปี 2025 ตลาดแว่นตาโลกมีมูลค่าราว 150,000-200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะทะยานทะลุ 330,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2030 โดยคาดว่า ภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก จะมีการขยายตัวสูงสุด ขณะที่ตลาดเมริกาเหนือจะยังคงเป็นตลาดหลักอยู่ต่อไป นั่นหมายความว่า ตลาดแว่นโลกโลกยังมีศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการของเมืองตันหยางอีกมากในอนาคต
จากอุตสาหกรรมแว่นตา “ขนาดเล็ก” สู่กลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “ขนาดใหญ่” และกลายเป็นฐานเศรษฐกิจหลักที่ช่วยขับเคลื่อนสร้างความมั่งคั่งของจีน อันนำไปสู่ “ความเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดจำหน่ายเลนส์และแว่นตา
จนจะทำให้เมืองตันหยางรักษาและมีชื่อเสียงในฐานะ “เมืองหลวงแห่งแว่นตา” ในสายตาของชาวโลกไปอีกนานเท่านาน ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4143