KEY
POINTS
ก่อนหน้านี้ ผมมีโอกาสพาท่านผู้อ่านไปสำรวจตลาดที่ปักกิ่งในช่วงหยุดยาวฤดูร้อน และเกริ่นเกี่ยวกับ “ศูนย์กลางการบริโภคระดับโลก” เอาไว้ พร้อมบอกไว้ว่า มีโอกาสผมจะมาขยายความเรื่องนี้กัน วันนี้ผมเลยอยากชวนทุกท่านไปเจาะลึกกันว่า เมืองใดในจีนบ้างที่ถูกกำหนดเป็นศูนย์กลางฯ และสถานะวันนี้เป็นเช่นไรกันครับ ...
ที่ผ่านมา เรามักได้ยินชื่อเสียงของมหานครในต่างประเทศ ที่เป็น “ศูนย์กลางแห่งการบริโภค” ชั้นนำของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิวยอร์ก ลอนดอน และ โตเกียว
อย่างไรก็ดี โดยที่จีนก็ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยหันไปพึ่งพา “กำลังภายใน” ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม เมื่อราว 4 ปีก่อน รัฐบาลจีนจึงได้ประกาศกำหนดเป้าหมายให้ 5 เมืองชั้นนำของจีนเป็น “ศูนย์กลางการบริโภคระดับโลก” อันได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว เทียนจิน และ ฉงชิ่ง โดยในจำนวนนี้ 4 เมืองมีสถานะเป็น “มหานคร” ของจีน ยกเว้นกวางโจว เฉกเช่นเดียวกับของต่างประเทศ
ผมจะขอพาไปรู้จักเมืองแห่งการบริโภคทั้ง 5 โดยสังเขปกันครับ ข้อมูลในปี 2024 ระบุไว้ดังนี้
1.เซี่ยงไฮ้ มีประชากรประจำอยู่ราว 25 ล้านคน และหากนับรวมประชากรแฝงจากนอกพื้นที่ ที่เข้ามาทำงานในมหานครแห่งนี้ ก็คาดว่าจะทะลุหลัก 30 ล้านคน เซี่ยงไฮ้ถือเป็น “หัวมังกร” ทางเศรษฐกิจและกลุ่มเมืองในบริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียง
โดยปัจจุบัน มหานครแห่งนี้มีขนาดเศรษฐกิจราว 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใหญ่กว่าจีดีพีของไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว และในช่วงหลายปีหลัง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้ อยู่ในระดับเดียวกับของค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ
2.ปักกิ่ง มีจำนวนประชากรอยู่ราว 21 ล้านคน แต่ด้วยความเป็นเมืองหลวงที่ต้องมีระดับความปลอดภัยสูง จึงมีการคุมเข้มคนทำงานแฝง ทั้งนี้ แรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในเทียนจิน หรือ หัวเมืองตามแนวตะเข็บรอยต่อกับปักกิ่ง และเข้าไปทำงานในกรุงปักกิ่ง แบบเช้าไป-เย็นกลับ ปัจจุบัน กรุงปักกิ่งเป็น “แกนหลัก” ของกลุ่มเมือง “จิงจินจี้” ในบริเวณ “คอไก่” ปัจจุบัน ปักกิ่งมีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่ 650,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
3.กวางโจว มีจำนวนประชากรในระดับใกล้เคียงกับปักกิ่ง โดยบางส่วนโยกย้ายถิ่นฐานจากพื้นที่ตอนใน เพื่อไปทำงานแบบชั่วคราว ปัจจุบัน กวางโจว “เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง” มีจีดีพีอยู่ที่ราว 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างการผลิตจากอุตสาหกรรม “แรงงานเข้มข้น” ไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ “เทคโนโลยีเข้มข้น” หรือแม้กระทั่ง “นวัตกรรมเข้มข้น” เพื่อเพิ่มบทบาทการพัฒนาเศรษฐกิจในกลุ่มเมือง Greater Bay Area (GBA)
4.เทียนจิน มีประชากรราว 14 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่ราว 250,000 เศรษฐกิจของเทียนจินเติบโตในอัตราที่ต่ำ หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ของคลังเก็บสารเคมีในพื้นที่เขตเมืองใหม่ปินไฮ่ (Binhai New Area) เมื่อราว 10 ปีที่แล้ว ทำให้ผู้คนและธุรกิจของจีน และต่างชาติจำนวนมาก โยกย้ายออกนอกพื้นที่ และปัจจุบันมหานครแห่งนี้ อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่
5.ฉงชิ่ง มหานครแห่งเดียวในด้านซีกตะวันตกของจีน มีประชากรรวมกว่า 30 ล้านคน ในจำนวนนี้ ราว 16 ล้านคน อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง ในปี 2024 ฉงชิ่งมีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่ราว 450,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภายหลังการดำเนินนโยบาย “ศูนย์กลางแห่งการบริโภคระดับโลก” ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจีนก็ได้กำหนดเป้าหมาย และวางแผนการดำเนินงานอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ความเป็นศูนย์กลางฯ เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ส่งผลให้สภาพแวดล้อมการบริโภคใน 5 เมืองดังกล่าวมีความเป็นมิตรมากขึ้น ทั้งในด้านการบริโภคดิจิตัล สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ รวมถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแข็งขัน
แต่ละหัวเมืองดังกล่าว ยังตั้งเป้าการขยายตัวของการบริโภคในแต่ละปีอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น จนถึงปี 2030 ปักกิ่งมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นภาคการบริโภคให้ขยายตัว 5% ต่อปี
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังตั้งเป้าที่จะ “นำร่อง” การพัฒนาศูนย์กลางการบริโภคแบบบูรณาการจำนวน 2-3 แห่งใหม่ โดยแต่ละแห่งจะมีมูลค่าการบริโภคแตะหลัก 100,000 ล้านหยวนภายในปี 2030 โดยการผสมผสานการบริโภคด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การพาณิชย์ กีฬา และอื่นๆ เข้าด้วยกัน
ในทางปฏิบัติ เมืองเหล่านี้ยังยกระดับตลาดการท่องเที่ยวทั้งระบบ อาทิ การพัฒนาย่านจับจ่ายใช้สอยและสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ทั้งในและต่างประเทศได้เปิดร้านค้าถึง 12,000 แห่งในเขตเมืองใหญ่ โดยในปี 2024 ปักกิ่งได้พัฒนาย่านช้อปปิ้งมากกว่า 60 แห่งและมีผู้คนแวะเวียนไปเยี่ยมชมในปี 2024 รวมกว่า 2,670 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 10% ของปีก่อน
ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐ และ เอกชน ที่เกี่ยวข้องยังอำนวยความสะดวกให้กับประสบการณ์การจับจ่ายใช้สอยในวงกว้าง ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง ที่จอดรถ ทางเท้า และที่ชาร์จแบต รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการดูแลด้านความปลอดภัย
หากท่านเดินทางเยือนเทียนจินในช่วง 2-3 ปีหลัง ก็อาจสังเกตเห็นการปรับปรุงอาคารสูงและบ้านสไตล์ยุโรป ถนน สะพาน และทางเดินเท้าในย่านตัวเมืองครั้งใหญ่ ซึ่งจะทำให้ใจกลางเมืองเทียนจินเป็นพื้นที่ “น่าอยู่” ที่สร้างบรรยากาศที่น่าท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง และใช้เวลาอย่างน่าสนใจยิ่ง
เมืองเหล่านี้ ยังขยันทำกิจกรรมพิเศษอย่างหลากหลาย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยในช่วงฤดูร้อนนี้ เซี่ยงไฮ้จัดกิจกรรมพิเศษมากกว่า 300 รายการ เพื่อยกระดับตัวเองให้เห็นจุดหมายปลายทางด้านการบริโภคระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ เพื่อต่อยอดนโยบาย “วีซ่าฟรี” และการผ่อนคลาย “วีซ่าผ่านแดน” ที่ขยายระยะเวลาจากเดิม 2-3 วันเป็นถึง 10 วัน ก็ช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนจีน
การเดินทางขาเข้ากลายเป็นจุดเด่นของเมืองเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาเยือนเซี่ยงไฮ้สูงถึง 4.25 ล้านคน เพิ่มขึ้น 38.5% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025
มิหนำซ้ำ เมืองเหล่านี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพบริการคืนภาษีแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ต่างมีจุดบริการคืนภาษีมากกว่า 1,400 แห่ง และกวางโจวมีมากกว่า 500 แห่ง
จุดบริการคืนภาษีที่เพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทำให้รายได้จากการขายที่ขับเคลื่อนด้วยการซื้อสินค้าที่ขอคืนภาษีของนักท่องเที่ยวต่างชาติใน 5 เมืองนี้คิดเป็นถึง 70% ของยอดขายทั่วประเทศ
ประการสำคัญ หัวเมืองหลักของจีนดูเหมือนจะรุดหน้าในเรื่องการปรับปรุงระบบการชำระเงินออนไลน์ที่สะดวกสบาย แม่นยำ และปลอดภัย เหนือกว่าของเมืองแห่งการบริโภคของต่างประเทศ โดยกำลังมุ่งสู่ความเป็น “สังคมไร้เงินสด” มากขึ้นทุกขณะ
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการแข่งขันและความเป็นศูนย์กลางแห่งการบริโภคระดับโลก
แม้ว่า 5 เมืองดังกล่าวจะประสบความสำเร็จในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการบริโภคระดับโลกแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลจีนและรัฐบาลท้องถิ่นอีกหลายหัวเมืองจะยังคงมี “การบ้านข้อใหญ่” ในการเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางการบริโภคระหว่างประเทศ ให้กระจายตัวมากขึ้น เพื่อขยายตลาดการบริโภคภายในประเทศ และเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
โดยสามารถ “เรียนลัด” จาก 5 เมืองดังกล่าวและขยายการดำเนินการผ่านมาตรการอื่นๆ อาทิ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการบริโภคระหว่างประเทศ การขยายอุปทานสินค้าคุณภาพสูง และการพัฒนารูปแบบการบริโภคที่หลากหลาย
ไทยเราเองก็สามารถเรียนรู้จาก 5 ศูนย์กลางการบริโภคระดับโลกของจีนเช่นกัน ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับ 4138