มหากาพย์การเลือกตั้งและพลวัตโลกในเมียนมา ใต้เงาแห่งความเปลี่ยนแปลง

28 ธ.ค. 2568 | 21:00 น.

มหากาพย์การเลือกตั้งและพลวัตโลกในเมียนมา ใต้เงาแห่งความเปลี่ยนแปลง คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • เมียนมาจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งระยะ (Phased Election) เริ่มต้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ใน 102 เมืองสำคัญ ท่ามกลางบริบททางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและปัญหาภายในประเทศ
  • การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเวทีสะท้อนผลประโยชน์ของมหาอำนาจโลกที่แตกต่างกัน โดยจีนเน้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รัสเซียต้องการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหาร ขณะที่ชาติตะวันตกมองว่าขาดความชอบธรรม
  • ประชาชนเมียนมาเฝ้ามองการเลือกตั้งอย่างระมัดระวัง โดยตั้งคำถามว่ากระบวนการนี้จะสามารถตอบโจทย์เรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์และสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเองได้จริงหรือไม่

มหากาพย์การเลือกตั้งและพลวัตโลกในเมียนมา ใต้เงาแห่งความเปลี่ยนแปลง คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์


ใกล้จะสิ้นปีอีกปีแล้ว ผมก็แก่ลงไปอีกหนึ่งปี ในช่วงของรอยต่อแห่งปี 2025 ที่กำลังจะผ่านพ้น วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคมนี้ ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญ ที่ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน เมื่อประตูคูหาเลือกตั้งในประเทศเมียนมาถูกเปิดออกเป็นเฟสแรก ท่ามกลางสายตาของนักสังเกตการณ์ทั่วโลก

ขณะเดียวกันในประเทศไทย สภาวะการเมืองก็กำลังเข้าสู่ฤดูการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่ก็แฝงไปด้วยความเคลื่อนไหวที่น่าขบคิด นี่คือช่วงเวลาที่เราต้อง “ผ่าบริบท” ของการเลือกตั้งของทั้งสองประเทศ เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมการเลือกตั้งในดินแดนลุ่มน้ำโขงและน้ำสาละวิน ถึงมีความซับซ้อน เกินกว่าที่ตำราประชาธิปไตยตะวันตกจะอธิบายได้หมดครับ

ก่อนอื่นผมอยากให้มามองการเลือกตั้งของประเทศเมียนมาก่อน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความพยายามและมรดกจากอดีต ที่มีการวางแผนอันแยบยลของเจ้าจักรวรรดินิยมอังกฤษ ได้วางหมากไว้ตั้งแต่ปีค.ศ.1947 แล้ว ซึ่งกำลังส่งผลมาในยุคปัจจุบันครับ การเลือกตั้งครั้งนี้ รัฐบาลเมียนมาได้จัดให้มีการจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งระยะ (Phased Election) เริ่มต้นขึ้นวันนี้ (28 ธ.ค.2568) ในพื้นที่ 102 เมือง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และถือเป็นหัวใจสำคัญทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ แม้ทางรัฐบาลจะพยายามจัดเตรียมกระบวนการ ให้ดูทันสมัยด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยลงทุนไปกับการจัดซื้อเครื่องลงคะแนนเสียงแบบอัติโนมัติ แต่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญยิ่งกว่าเครื่องมือ คือ “ความรู้สึกร่วมของสาธารณชน” ที่เป็นผู้ตัดสินนั่นเอง

ในขณะที่ประชาชนชาวเมียนมาในวันนี้ กำลังแบกรับ “มรดกทางประวัติศาสตร์” ที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม หากย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งที่มีการทำ “สนธิสัญญาปางหลวง” (1947) ซึ่งถือเป็น “สัญญาใจ” ระหว่างรัฐบาลกลางกับกลุ่มชาติพันธุ์ เราจะเห็นบาดแผลที่ยังไม่หายสนิท การเลือกตั้งในวันนี้ จึงอาจจะถูกตั้งคำถามจากปัญญาชนเมียนมาว่า จะสามารถตอบโจทย์เรื่องความหลากหลาย และสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้จริง? บรรยากาศที่ดูเงียบเหงาในบางพื้นที่ จึงไม่ใช่ความเฉื่อยชา แต่คือการเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางปัญหาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และปากท้องของประชาชน ที่ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วนด้วยกันทั้งหมด

ในขณะที่ประเทศเมียนมาเอง ก็เป็นกระดานหมากระดับโลกในวันนี้ เพราะเมื่อมหาอำนาจจ้องมองมาที่คูหาเลือกตั้งของเมียนมา ความซับซ้อนของการเลือกตั้งเมียนมาไม่ได้จบแค่ภายในพรมแดน แต่เป็นสนามประลองกำลังของมหาอำนาจที่มี “Bias” หรืออคติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (The Pragmatic Dragon)

ต้องบอกว่า สำหรับปักกิ่ง “เสถียรภาพสำคัญกว่ารูปแบบการปกครอง” เสมอ จีนต้องการความมั่นใจว่า โครงการยุทธศาสตร์อย่างระเบียงเศรษฐกิจ (CMEC) และทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย จะต้องสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็น “ทางออกที่พอรับได้” เพื่อให้การค้าการลงทุนที่ลงไปเยอะมาก สามารถกลับมาเดินหน้าต่อไปนั่นเอง

ในขณะที่ประเทศรัสเซีย (The Strategic Ally) มอสโกกลายเป็นมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของรัฐบาลทหารเมียนมาในปัจจุบัน โดยมองว่าการเลือกตั้ง คือการสร้างความชอบธรรมในระดับสากล เพื่อรักษาตลาดอาวุธและความร่วมมือทางทหารในภูมิภาคนี้ อีกทั้งถ้าหากประเทศรัสเซีย มีความต้องการเข้ามามีบทบาทในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพันธมิตรที่ใช้งบประมาณอย่างชาญฉลาดและไม่มาก เพราะในช่วงที่ประเทศเมียนมากำลังอยู่ในช่วงที่ยากลำบากนี้ รัสเซียได้ยื่นมือเข้ามาจูงมือเดินไปด้วยกันอยู่นั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศรัสเซีย “ต้องยอมรับ” กับผลของการเลือกตั้งในครั้งนี้ครับ

ส่วนอีกหนึ่งประเทศที่ต้องกำลังจ้องมองอยู่ นั่นคือมหามิตรอย่างประเทศอินเดีย (The Cautious Neighbor) ซึ่งอยู่ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน อินเดียให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงชายแดน และนโยบาย Act East ท่าทีของกรุงนิวเดลีต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงเป็นแบบแบ่งรับแบ่งสู้ คือ สนับสนุนกระบวนการสันติภาพ แต่ก็พร้อมจะทำงานร่วมกับผู้ที่คุมอำนาจจริงในพื้นที่ แน่นอนว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือฝ่ายไหน? อินเดียน่าจะยอมรับโดยปริยายครับ

ในขณะที่ชาติตะวันตก (The Moral Judge) นำโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เป็นที่รู้กันว่าเขาเหล่านี้ มีอคติต่อรัฐบาลทหารมาตลอด และยังคงยึดมั่นในบรรทัดฐานประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน(จะจอมปลอมหรือแท้จริงหรือไม่?ต้องใช้วิจารณญาณกันเอาเองครับ) โดยมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าขาดความชอบธรรม เหตุผลที่นำมาอ้าง เพราะปราศจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ประชาชนเมียนมาบางส่วนกลับ มองว่าตะวันตกมักวางตัวเป็น “ผู้พิพากษา” โดยที่ไม่ได้เข้ามาช่วยแก้ปมปัญหาที่ตนเองทิ้งไว้ในอดีตอย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ ที่มีการวางแผนที่แยบยลดังที่ผมได้กล่าวมา

หันกลับมามองประเทศไทย ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในอีกเดือนกว่านี้ ในส่วนตัวของผม ผมเห็นว่าไทยเราก็มีปัญหาวิกฤตศรัทธาของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ด้วยเช่นกัน การแสวงหาความหวังใหม่จากผู้นำพรรคการเมือง ที่เสนอตัวมาเป็นผู้นำในวันนี้ จึงเป็นความท้าทายของคนไทยเราในขณะนี้

ผมเชื่อว่าประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่ตัวกระบวนการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ตัวเลือกเชิงอุดมการณ์” และเชื่อว่ายังมีปัญญาชนจำนวนไม่น้อยที่คิดเหมือนผม ว่าเราเริ่มตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ความสิ้นหวังในตัวบุคคล” เมื่อมองไปที่เหล่าผู้นำที่เสนอตัวมาบริหารประเทศ จะพบว่ามีเพียงไม่กี่คน ที่ถูกเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาประเทศ ก้าวข้ามความขัดแย้งเชิงโครงสร้างได้จริง และสามารถนำพาประเทศไทยเราฝ่าความท้าทายที่มีอยู่มากมายในขณะนี้ได้อย่างสง่างามครับ

ในขณะเดียวกัน วันนี้ข่าวคราวเรื่องความตึงเครียดตามแนวชายแดน กลับทำหน้าที่เป็นเหมือน “ม่านควันข่าวสาร” ที่เบนเข็มความสนใจของประชาชนออกจากการตั้งคำถามถึงเสถียรภาพภายในประเทศ การเมืองไทยจึงดูเหมือนจะวนอยู่ในสภาวะ “ประชาธิปไตยไม่เต็มใบ” เพราะการตัดสินใจสำคัญของประเทศ มักเกิดขึ้นจากข้อตกลงเบื้องหลัง และจะมี “ผู้มากอิทธิพล” มาคอยกำกับดูแลประเทศ แทนที่นักการเมืองเสมอ จนมีอิทธิพลมากกว่าเจตนารมณ์ที่สะท้อนผ่านบัตรเลือกตั้งที่ผ่านๆ มาครับ......เฮ้อ!!!!

ว่าจะไม่อยากบ่นเรื่องการเมือง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแวะไปนิด ต้องขออภัยด้วยนะครับ เรามาดูเรื่องมหากาพย์การเลือกตั้งในอาเซียนวันนี้ดีกว่าครับ ต้องบอกว่าการเลือกตั้งในประเทศเมียนมาในวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของชาวเมียนมาเพียงลำพัง แต่มันคือการพิสูจน์ความอดทนของประชาชนในภูมิภาคนี้ ว่าเราจะสามารถก้าวผ่าน “ความเบื่อหน่าย” และ “ความสิ้นหวัง” ไปได้อย่างไร?

สำหรับประชาชนในกรุงย่างกุ้งหรือที่เมืองมัณฑะเลย์ วันนี้อาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของก้าวใหม่ที่ยังไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ตราบใดที่ยังมีภาคประชาชนของเมียนมา ที่เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของสิทธิและเสียงของตนเอง แสงแห่งความหวังย่อมยังไม่ดับสูญไปอย่างแน่นอนครับ ขอสันติภาพจงบังเกิดแด่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์.....เมียนมา.....