ไข่มุกดำทะเลใต้ อัญมณีล้ำค่าจากหมู่เกาะบริสุทธิ์ของเมียนมา

07 ธ.ค. 2568 | 22:30 น.

ไข่มุกดำทะเลใต้ อัญมณีล้ำค่าจากหมู่เกาะบริสุทธิ์ของเมียนมา คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • ไข่มุกดำทะเลใต้จากหมู่เกาะมะริดของเมียนมา เป็นอัญมณีประจำชาติที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยถูกยกย่องเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและความบริสุทธิ์
  • โดดเด่นด้วยคุณภาพที่เหนือกว่าจากหอยมุกอายุยืน ทำให้มีชั้นมุกหนาแน่น ทนทานสูง มีความแวววาว และมีเฉดสีหลากหลาย โดยเฉพาะสีทองที่หายาก
  • รัฐบาลเมียนมาควบคุมการค้าผ่านการประมูลระดับชาติ และปัจจุบันมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในฟาร์มไข่มุกเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการรักษาสภาพแวดล้อมทางทะเล

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ผมนำเอาอัญมณีของประเทศเมียนมา มาเล่าทางรายการวิทยุอสมท.100.5 MH ก็มีแฟนคลับสนใจสอบถามมาเรื่องของไข่มุกอันดามัน ผมจึงบอกไปว่า ให้รออ่านทางคอลัมน์นี้น่าจะดีกว่า เพราะเพื่อนๆ ท่านอื่นที่สนใจ จะได้อ่านคอลัมน์นี้ จะได้รับความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมจะนำมาเล่าให้อ่านเล่นครับ

อันที่จริงอัญมณีของประเทศเมียนมา ไม่เพียงแต่จะมีเพียงหยก ทับทิม ไพลิน และอำพันเท่านั้น ยังมีอีกหนึ่งชนิดของอัญมณีที่มีความหมายสำหรับชาวเมียนมามาก แต่ไม่ค่อยมีคนได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร นั่นก็คือ “ไข่มุกสายพันธุ์ทะเลใต้” ที่มีทั้งไข่มุกขาวและไข่มุกดำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไข่มุกดำจะมีมูลค่ามากกว่าไข่มุกขาวเสียอีก แต่คนทั่วไปมักจะนิยมชมชอบไข่มุกขาวเสียมากกว่าครับ วันนี้ผมจะนำเรื่องราวของไข่มุกอันดามัน มาเล่าให้อ่านเล่นๆนะครับ 

ในอดีตนานมาแล้ว ที่ประเทศเมียนมา “ไข่มุก” ถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และอำนาจ โดยเฉพาะในราชสำนักของพม่าเก่า ไข่มุกจึงไม่ใช่เป็นแค่เครื่องประดับ แต่เป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคมและอำนาจของผู้สวมใส่ด้วย เราจึงพบว่าในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของเมียนมา ที่กรุงย่างกุ้ง ก็จะมีการจัดแสดงเครื่องประดับของพระมหากษัตริย์ในอดีต ไข่มุกก็เป็นหนึ่งในเครื่องประดับที่นำมาแสดงด้วยเช่นกันครับ

ต่อมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ เมื่อการค้าขายไข่มุกถูกพัฒนาเป็นอุตสาหกรรม ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลเมียนมาได้เข้ามาควบคุมและกำหนดให้ไข่มุกเป็นหนึ่งใน “อัญมณีของชาติ” การประมูลไข่มุกในเมียนมา จึงไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมทางธุรกิจ แต่เป็นงานสำคัญระดับประเทศ ที่สะท้อนถึงความมั่งคั่งของทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญไม่แพ้หยกหรือไพลินเลยครับ

สิ่งที่ทำให้ไข่มุกสายพันธุ์ทะเลใต้ของเมียนมา โดดเด่นยิ่งกว่าไข่มุกสายพันธุ์อื่นๆ นั่นก็คือ “อายุขัย” ของหอยมุกที่ให้กำเนิดไข่มุก “หอยมุกปากขาว” (Pinctada maxima) มีอายุขัยยืนยาวกว่าหอยมุกอะโกย่าถึงสองเท่า ทำให้พวกมันสามารถผลิตไข่มุกได้หลายรอบตลอดชีวิต ซึ่งหอยมุกที่มีสุขภาพดี สามารถให้ไข่มุกที่มีคุณภาพต่อเนื่องกันได้หลายเม็ด นี่คือปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนความยั่งยืนของอุตสาหกรรมในพื้นที่ ไข่มุกสายพันธุ์ทะเลใต้โดยเฉพาะที่มาจากเมืองมะลิดของประเทศเมียนมา เป็นการรวมเอาคุณสมบัติที่ดีที่สุดของอัญมณีหลายชนิดไว้ในเม็ดเดียวกัน

นั่นคือความทนทานจากความหนาแน่นของชั้นมุก (Durability from Nacre Density) ชั้นมุกของไข่มุกสายพันธุ์ทะเลใต้ จะมีความหนาแน่นสูงมาก เมื่อเทียบกับไข่มุกจากแหล่งอื่นๆ ของโลก ซึ่งเป็นผลจากการใช้เวลานานในการเพาะเลี้ยงในน้ำทะเลเย็นและสะอาด ชั้นมุกที่หนานี้ทำให้ไข่มุกมีความทนทานต่อการขีดข่วน และสามารถนำมาสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ได้ดีกว่าไข่มุกที่มีชั้นมุกบางชนิด เช่น ไข่มุกสายพันธุ์อะโกย่า นอกจากนี้ยังช่วยรักษา “ความลึก”(Depth) ของความวาว ทำให้ไข่มุกยังคงเปล่งประกายสดใส แม้ผ่านการใช้งานไปหลายสิบปี ซึ่งต่างจากไข่มุกคุณภาพต่ำ ที่ความวาวอาจจางหายไปตามกาลเวลาครับ
     

นอกจากนี้ ความหลากหลายของเฉดสีทอง (The Golden Spectrum) ซึ่งเป็นหนึ่งในหลากหลายสีของ “ไข่มุกดำ” ที่มีทั้งสีดำ สีเทา สีม่วง สีน้ำเงิน และสีชมพู เป็นต้น ไข่มุกดำสีทองสายพันธุ์ทะเลใต้จากประเทศเมียนมา มีชื่อเสียงเป็นพิเศษเนื่องจากเฉดสีทอง ที่หลากหลาย ตั้งแต่สีทองอ่อน (Champagne Gold) ไปจนถึงสีทองเข้ม (Deep Golden) ที่ดูหรูหราและหายากอย่างยิ่ง (ราคาก็แพงมากเป็นพิเศษ) สีทองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้ เป็นผลมาจากสารเม็ดสีวัตถุอินทรีย์ (Organic Pigments) ที่หอยมุกปากทองผลิตขึ้น การผลิตไข่มุกสีทองที่มีคุณภาพสูงในปริมาณมาก จึงต้องอาศัยการคัดเลือก และดูแลหอยมุก “สายพันธุ์ปากทอง” ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เหมาะสมและดีที่สุดครับ

นอกจากนี้ยังมีไข่มุกอีกหนึ่งชนิด ที่เราอาจจะมองข้ามไป เพราะรูปร่างไม่ได้กลมเหมือนไข่มุกทั่วไป ที่ถูกเรียกว่าเอกลักษณ์ของรูปร่างบาร็อค (The Beauty of Baroque) ของไข่มุกดำสายพันธุ์ทะเลใต้ ซึ่งถึงแม้ว่าไข่มุกทรงกลมสมบูรณ์จะมีราคาสูงมาก แต่ไข่มุกทรง “บาร็อค” (Baroque) ซึ่งเป็นไข่มุกที่มีรูปร่างผิดปกติหรือไม่ได้สมมาตร แต่ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไข่มุกบาร็อคจากทะเลใต้ โดยเฉพาะจากเมืองมะลิด จะมีขนาดใหญ่และพื้นผิวมีความมันวาวสูง ทำให้ช่างอัญมณีสามารถนำไปออกแบบเครื่องประดับที่ทันสมัย และมีศิลปะสูง ซึ่งเน้นย้ำถึงเอกลักษณ์ของแต่ละเม็ด และสร้างมูลค่าที่แตกต่างออกไปจากไข่มุกทรงกลมทั่วไป ดังนั้นถ้าเราเห็นราคาของไข่มุกดังกล่าวในตู้โชว์ของตลาด ก็อย่าได้แปลกใจครับ

ในปัจุบันนี้รัฐบาลเมียนมา ได้นำเอาไข่มุกออกมาประมูลขายในงานมหกรรม Myanmar Gams Emporium ซึ่งจะจัดขึ้นทุกปี ที่ Mani-yanada Hall ณ.กรุงเนปิดอร์ ซึ่งจะมีการนำเอา หยก ไพลิน ทับทิม ไข่มุก และอัญมณีอื่นๆ ออกมาให้พ่อค้าจากต่างประเทศเข้ามาประมูลซื้อ แต่ก็ยังมีการแบ่งส่วนให้พ่อค้าเมียนมาได้เข้ามาประมูลด้วย โดยจะแยกกองอัญมณีออกมาอย่างชัดเจน 

นอกจากนี้ ปัจุบันได้มีฟาร์มไข่มุกบางแห่งในหมู่เกาะมะริด ได้เริ่มมีการเปิดฟาร์มให้ใช้ในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เดินทางมาเยือนหมู่เกาะมะลิด สามารถเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดกับขั้นตอนการทำฟาร์มไข่มุก ซึ่งก็คล้ายๆ กับฟาร์มไข่มุกที่เกาะมิยาซากิ จังหวัดมิเอะในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการสังเกตการณ์การดูแลหอยมุกในท้องทะเล การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ และการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเพาะเลี้ยงแบบยั่งยืนด้วยครับ

การท่องเที่ยวลักษณะนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์แค่การส่งเสริมเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเลอันบริสุทธิ์ของเมียนมา ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวที่จะทำให้ “ไข่มุกดำสายพันธุ์ทะเลใต้” ยังคงรักษาคุณภาพและความล้ำค่าในระดับโลกไว้ได้ ไข่มุกดำสายพันธุ์ทะเลใต้ จึงเป็นผลผลิตที่สมบูรณ์แบบของธรรมชาติ ภูมิปัญญา ความใส่ใจของชาวเมียนมาอย่างแท้จริงนั่นเองครับ