DELTA หรือจะซ้ำรอยเดิม

05 ม.ค. 2566 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ม.ค. 2566 | 07:13 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** สิ่งที่เรียกว่า Sell on Fact น่าจะสามารถเอามาใช้กับหุ้นตัวแรงอย่าง DELTA ได้ถูกต้อง เพราะในวันแรกที่ได้เข้าไปอยู่ใน SET50 และ SET100 ราคาหุ้นของก็ทะยานขึ้นไปจนส่งผลให้ DELTA กลายเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปที่ให้ที่สุดในประเทศแซงหน้าทั้ง AOT และ PTT ไปได้ง่ายๆ ซึ่งเมื่อทุกอย่างลงตัว การเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้นก็เกิดขึ้น เริ่มจากราคาหุ้นสูงสุดที่ 990 บาท ที่ถูกปล่อยให้ไหลลงมาจนแทบจะหลุดราคา 800 บาทลงไป

 

ถ้ามองอนาคตของ DELTA ก็จะเห็นได้ว่า ประเด็นที่ถูกนำมาใช้ผลักดันราคาหุ้น ล้วนแต่ถูกดึงออกมาใช้แล้วทั้งหมด เริ่มจากการได้เข้าไปอยู่ใน SET50 และ SET100 ซึ่งอาจจะสร้างโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ เพียงแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของราคาหุ้นที่เหมาะสมกับผลการลงทุน ซึ่งดูแล้วราคาหุ้นของ DELTA น่าจะไปไกลเกินไปแล้ว

 

ขณะที่ความคาดหวังและการเก็งกำไรไตรมาส 4/65 และกำไรรวมของปี 65 ทั้งปีของนักลงทุน กลายเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า น่าจะออกมาดีมันก็ส่งผลให้ความท้าทายที่มีลดน้อยลง ซึ่งตอนนี้เรื่องที่ยังคงมีให้ลุ้นได้ ก็เห็นจะเหลือแค่เพียงประเด็นเรื่องการแตกพาร์เท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะแตกพาร์ขึ้นมาจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะวิ่งตามไปด้วยอยู่ดี

และเมื่อไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาเสริมนั้น ก็หมายความว่า จากนี้ไปราคาหุ้นของ DELTA อาจจะไม่เป็นอย่างที่นักลงทุนคาดหวังก็เป็นได้ อย่าลืมว่าตอนที่ DELTA ได้เข้าไปอยู่ SET50 และ SET100 ในครั้งก่อน ก็มีเรื่องการเก็งกำไรว่านักลงทุนต่างชาติจะเข้าเก็งกำไรจากผลการดำเนินงาน และมีข่าวเรื่องการแตกพาร์ เช่นเดียวกันนี้...ไม่มีอะไรต่างกันเลย

 

*** การที่ราคาหุ้นธนาคารใหญ่อย่าง KBANK BBL SCB KTB และ TTB ต่างก็ขยับราคาอย่างคึกคัก ตั้งแต่ต้นปีเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้อยู่แล้ว อย่างแรกคือ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาโควิด อย่างที่สอง คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเจ๊เมาธ์ก็เคยบอกอยู่เรื่อยๆ ว่า ทุกๆ 0.25% ของการปรับขึ้นดอกเบี้ย จะมีผลในเชิงบวกกับผลการดำเนินงานของธนาคารใหญ่เหล่านี้ 7-10% เลยทีเดียว

 

นั่นหมายความว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ครั้งละ 0.25% ถึง 2 ครั้งในปีที่ผ่านมา ก็อาจมีผลให้ธนาคารเหล่านี้ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าธนาคารไหนจะปรับดอกเบี้ยเท่าไหร่เท่านั้นเอง เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่าปีนี้หุ้นธนาคารมาแน่...ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหนก็รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์น่าจะดีที่สุด

*** ALL เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการประกาศการผิดนัดชำระดอกเบี้ยงวดที่ 5 ในวันที่ 3 ม.ค. 66 ของหุ้นกู้มีประกันของบริษัทครั้งที่ 3/2564 ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน เม.ย. 67 หุ้นกู้รุ่น (ALL244A) คิดเป็นจำนวนดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระจำนวน 10,651,495.04 บาท โดยเหตุผลง่ายๆ ที่บอกว่า บริษัทขาดสภาพคล่องจนทำให้มีกระแสเงินสดไม่เพียงพอในการจ่าย จนเป็นเหตุให้ราคาหุ้นของ ALL ปรับลงไป แต่จุดต่ำที่สุด อย่าลืมว่าการผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้ เป็นการทำลายเครดิตของบริษัทอย่างร้ายแรง และยิ่งด้วยเป็นการผิดชำระหนี้ด้วยเงินแค่สิบกว่าล้านบาทแค่นี้ น่าจะกลายเป็นบาดแผลที่ติดตัวบริษัทไปอีกนาน บอกเลยว่า งานนี้เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง...หลบได้เป็นหลบ เจ๊เมาธ์ก็บอกเลยว่า ราคาหุ้นต่ำสุดที่ว่านี้ น่าจะยังมีสิ่งที่เรียกว่า “ต่ำแล้วต่ำอีก” ตามมาได้อีก

 

*** นับตั้งแต่เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH ดูเหมือนว่า GULF จะมีแต่ได้กับได้ ล่าสุดการที่ GULF เตรียมยื่นคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดของ THCOM คิดเป็น 58.874% ที่ราคาหุ้นละ 9.92 บาท เป็นเงินรวม 6.4 พันล้านบาท หลังจากที่ บริษัท กัลฟ์ เวนเชอร์ส จำกัด ได้ซื้อหุ้น THCOM จำนวนทั้งสิ้น 450,870,934 หุ้น (41.13%) ทำให้การลงทุนของ GULF ในครั้งนี้ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าซะยิ่งกว่าคุ้ม  
เนื่องจากว่า GULF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ใน INTUCH ในสัดส่วน 41.15% ซึ่งเมื่อจ่ายเงินให้ INTUCH ไปแล้ว ในอนาคตก็เป็นไปได้ว่า ทาง INTUCH ก็จะต้องมีการจ่ายปันผลพิเศษตามมา ซึ่งก็แน่นอนว่า GULF ในฐานะของผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็จะได้รับปันผลที่มากกว่าใคร ที่เขาว่ากันว่า “อัฐยายซื้อขนมยาย” ก็เป็นแบบนี้เอง