แน่นอนว่า ...ในการตรวจรับงานจ้างนั้น ผู้มีหน้าที่คือ คณะกรรมการตรวจการจ้างจะต้องตรวจสอบงานด้วยความละเอียดรอบคอบ ทั้ง “ปริมาณ” และ “คุณภาพ” หากทั้งสองอย่างเป็นไปตามสัญญา จึงจะรับงานและส่งเบิกจ่ายเงินค่าจ้างต่อไป ซึ่งหากการตรวจรับงานผิดพลาดไม่เป็นไปตามสัญญา คณะกรรมการตรวจการจ้างก็อาจต้องรับผิดทางละเมิดได้
อย่างไรก็ตาม แม้ระเบียบของทางราชการจะมิได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในการตรวจรับงานไว้อย่างชัดเจน หากแต่กำหนดเพียงว่าให้ดำเนินการโดยเร็วที่สุด ซึ่งก็มิได้หมายความว่าจะตรวจรับงานนานเท่าใดก็ได้ โดยอ้างเรื่องความสงสัยในคุณภาพงาน
คดีที่นำมาพูดคุยกันในวันนี้ ... เป็นตัวอย่างข้อพิพาทเกี่ยวกับการตรวจรับงานล่าช้าของราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 ข้อ 65 กำหนดว่า “คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่ดังนี้... (3) โดยปกติให้ตรวจผลงานที่ผู้รับจ้างส่งมอบภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ประธานกรรมการได้รับทราบการส่งมอบงาน และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด...”
กรณีการตรวจรับงานนานถึง 39 วัน โดยอ้างเหตุเคลือบแคลงสงสัยในคุณภาพงาน จะทำให้หน่วยงานในฐานะผู้ว่าจ้างตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาในการชำระหนี้ค่าจ้างหรือไม่ ? มาดูกันครับ...
มูลเหตุของคดีเกิดจาก อบต. ได้ทำสัญญาจ้างบริษัทของผู้ฟ้องคดีปรับปรุงถนน โดยเริ่มสัญญาในวันที่ 10 เมษายน 2560 และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 24 เมษายน 2560 ขอส่งมอบงานและขอเบิกจ่ายเงินค่าจ้างทั้งหมด
คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจผลงานในวันที่ 27 เมษายน 2560 โดยมีความเห็นว่า ในด้านปริมาณงานเป็นไปตามสัญญาแล้ว แต่ในด้านคุณภาพยังไม่สามารถตรวจรับงานได้ เนื่องจากไม่มีความรู้ทางด้านงานช่างที่เกี่ยวกับใบรับรองผลิตภัณฑ์และผลทดสอบวัสดุแอสฟัลต์ ประกอบกับผู้รับจ้างได้ทำการปูยางแอสฟัลติกคอนกรีตในช่วงกลางเดือนเมษายน 2560 แต่ใบรับรองคุณภาพแอสฟัลต์จากกรมทางหลวงกำหนดให้ใช้ได้ในระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1-31 มีนาคม 2560 เท่านั้น
อบต.จึงแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีนำใบรับรองคุณภาพแอสฟัลต์ ที่อยู่ในห้วงระยะเวลาการดำเนินการมาแสดง หรือให้นำวัสดุชั้นผิวจราจรที่ได้สุ่มเจาะตัวอย่างไว้ไปทำการทดสอบหาค่าส่วนผสมจากหน่วยงานของทางราชการซึ่งเป็นที่ยอมรับ
ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 ชี้แจงว่า ผู้ฟ้องคดีได้ทำงานที่รับจ้างเป็นไปตามที่กำหนดในสัญญา และได้ใช้ยางแอสฟัลติกคอนกรีตที่ได้รับรองมาตรฐานจากกรมทางหลวง รวมทั้ง อบต. ก็ได้เปิดถนนให้ประชาชนใช้สัญจรแล้ว ถือว่าได้รับมอบงานแล้ว และมีหน้าที่เบิกจ่ายเงินค่าจ้างภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จึงยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้ อบต. ชำระเงินค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด
ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้น คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานแขวงทางหลวงชนบท โดยได้รับคำแนะ นำว่า ใบรับรองคุณภาพแอสฟัลต์จะเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดในใบรับรองคุณภาพ แต่จะนำไปใช้ในช่วงใดนั้นขึ้นอยู่กับการบริหารสัญญาของโรงงานผู้ผลิต ซึ่งตามปกติแล้วแอสฟัลต์จะมีอายุการใช้งานได้ประมาณ 1 ปี กรณีของผู้ฟ้องคดีได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมทางหลวงโดยกำหนดให้ใช้ได้ในวันที่ 1-13 มีนาคม 2560 นั้น หมายความว่า แอสฟัลต์ที่ผลิตภายในวันที่ดังกล่าวได้รับการรับรองตามมาตรฐานแล้ว ไม่ได้หมายความว่าแอสฟัลต์นั้นหมดอายุการใช้งานภายหลังเวลาดังกล่าว
ต่อมา คณะกรรมการตรวจการจ้างได้มีมติรับงานจ้างเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2560 และแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไปรับเงินค่าจ้าง แต่ผู้ฟ้องคดีปฏิเสธจนกว่า อบต. จะจ่ายเงินค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ย อบต. จึงนำเงินค่าจ้างไปวางทรัพย์ ณ สำนักงานบังคับคดี โดยผู้ฟ้องคดีได้ไปรับเงินค่าจ้างแล้ว และต่อมาศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ อบต. ชำระดอกเบี้ยผิดนัดจำนวน 3,604.93 บาท
อบต. จึงยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด
คดีมีประเด็นปัญหาว่า อบต. กระทำผิดสัญญา และผิดนัดชำระเงินค่าก่อสร้างให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยสรุปได้ว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจและมีมติรับงานจ้างเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ซึ่งใช้ระยะเวลาถึง 39 วัน นับแต่วันที่ส่งมอบงาน ซึ่งแม้ข้อ 65 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุฯ กำหนดให้คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่ต้องทำการตรวจผลงานที่ส่งมอบภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ประธานกรรมการได้รับทราบการส่งมอบงาน โดยไม่ได้กำหนดว่าจะต้องตรวจรับงานให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วันก็ตาม แต่ก็กำหนดให้ต้องทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
ดังนั้น การที่ อบต. ตรวจรับงานนานถึง 39 วัน โดยอ้างเหตุความเคลือบแคลงในคุณภาพผลิตภัณฑ์แอสฟัลต์ จึงต้องขอคำปรึกษาจากหน่วยงานราชการต่างๆ ก่อน ทั้งที่ อบต. มีกองช่างเป็นหน่วยงานภายในซึ่งมีบุคลากรที่มีความรู้และความชำนาญด้านดังกล่าว ที่สามารถให้ข้อมูลและความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาได้ อีกทั้งความรู้เกี่ยวกับอายุการใช้งานของแอสฟัลต์เป็นความรู้ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และสามารถแสวงหาไว้ล่วงหน้าหรืออย่างช้าที่สุดก่อนการส่งมอบงานได้ ความล่าช้าดังกล่าวจึงไม่ได้มีเหตุมาจากความผิดของผู้ฟ้องคดี อบต. จึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 398/2564)
คดีนี้... ถือเป็นแนวทางการปฏิบัติราชการในการพิจารณาตรวจรับงานของผู้มีหน้าที่ซึ่งนอกจากจะต้องตรวจรับงานด้วยความละเอียดรอบคอบตามสัญญาแล้ว ยังต้องตรวจรับงานโดยเร็วอีกด้วยโดยควรศึกษาหาข้อมูลในงานที่ต้องตรวจรับก่อนล่วงหน้าและรีบขอรับคำแนะนำจากผู้ที่มีความรู้ในงานที่ตรวจรับจากภายในหน่วยงานก่อน หากได้ข้อมูลชัดเจนเพียงพอก็อาจไม่จำต้องปรึกษาหน่วยงานภายนอก
ทั้งนี้ เพื่อให้การตรวจรับงานแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดและงานมีคุณภาพถูกต้องตามข้อกำหนดในสัญญาครับ
(ปรึกษาคดีปกครองได้ที่ สายด่วนศาลปกครอง 1355)