โอนเงินช่วยเหลือนํ้าท่วมผิดบัญชี : ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยหรือไม่?

13 มี.ค. 2565 | 02:00 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2565 | 09:43 น.

โอนเงินช่วยเหลือนํ้าท่วมผิดบัญชี : ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยหรือไม่? : คอลัมน์อุทาหรณ์จากคดีปกครอง โดย นายปกครอง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,765 หน้า 5 วันที่ 13 - 16 มีนาคม 2565

 

อุทกภัย... ภัยธรรมชาติที่สร้างความเดือดร้อนและเสียหายอย่างมาก หากย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 ท่านผู้อ่านคงยังจำอุทกภัยในครั้งนั้นได้ดี เพราะเกิดขึ้นยาวนานติดต่อกันหลายเดือน ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเสียหายกันถ้วนทั่ว โดยรัฐบาลได้มีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ซึ่งหนึ่งในมาตรการดังกล่าวก็คือ การให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายกรณีบ้านที่พักอาศัยได้รับความเสียหาย 

 

คอลัมน์อุทาหรณ์จากคดีปกครองในฉบับนี้... จะขอพาทุกท่านย้อนอดีตไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งมีประชาชนผู้ประสบอุทกภัยรายหนึ่งได้ยื่นขอรับเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้โอนเงินผิดบัญชี ทำให้ผู้ประสบภัยรายดังกล่าวได้รับเงินช่วยเหลือล่าช้า!

 

เรื่องราวของคดีมีอยู่ว่า นายดวงผู้ประสบอุทกภัยได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานเขตพื้นที่ เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือนํ้าท่วมกรณีที่บ้านเสียหายบางส่วน ช่วยเหลือเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท ตามที่ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 กำหนดไว้ 

 

หลังจากยื่นเรื่องแล้ว นายดวงก็ยังไม่ได้รับเงินเสียทีจึงไปทวงถามที่สำนักงานเขต ทำให้ทราบว่า มีการโอนเงินช่วยเหลือจำนวน 1,860 บาท ของนายดวงเข้าบัญชีผู้อื่น ซึ่งเป็นการโอนเงินผิดบัญชี ต่อมา ผู้รับเงินได้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้สำนักงานเขตแล้ว และผู้อำนวยการเขตมีหนังสือแจ้งให้นายดวงมารับเงิน แต่นายดวงไม่ยอมไปรับ เจ้าหน้าที่จึงได้โอนเงินเข้าบัญชีของนายดวง 

 

นายดวงเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่โอนเงินช่วยเหลือเข้าผิดบัญชี ทำให้ตนเสียหายได้รับเงินล่าช้า อีกทั้งตนยังได้รับเงินช่วยเหลือน้อยกว่าที่เพื่อนบ้านข้างเคียงได้รับ จึงได้อุทธรณ์ขอรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม

 

จากนั้น นายดวงได้ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7) ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 

 

โอนเงินช่วยเหลือนํ้าท่วมผิดบัญชี : ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยหรือไม่?

 

 

คดีนี้กรุงเทพมหานครอ้างว่า การโอนเงินผิดพลาดได้เกิดขึ้นในขั้นตอนของการลงข้อมูล เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่และมีคำร้องของผู้ประสบภัยจำนวนมาก แต่เจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด จึงไม่อาจใช้ความระมัดระวังในการทำงานเช่นเดียวกับในภาวะปกติได้ 

 

ในชั้นการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้น ปรากฏว่าคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฯ ได้ปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือให้นายดวง ครั้งที่สองอีกเป็นเงิน 10,600 บาท เมื่อรวมกับครั้งแรกจำนวน 1,860 บาท จึงเป็นเงินช่วยเหลือที่นายดวงมีสิทธิได้รับทั้งสิ้น 12,460 บาท แต่นายดวงยังไม่ยอมรับ เงิน 10,600 บาท 

 

 

คดีมีประเด็นพิจารณาที่น่าสนใจว่า การที่เจ้าหน้าที่โอนเงินช่วยเหลือครั้งแรกผิดบัญชี ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการได้รับเงินล่าช้า ในสภาวะที่มีผู้ยื่นคำขอจำนวนมากจะถือว่า เจ้าหน้าที่ประมาทเลินเล่อและหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ? 

 

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยสรุปว่า ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำร้องขอต่อเจ้าหน้าที่โดยแนบภาพถ่ายสมุดบัญชีธนาคารที่มีชื่อของผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของบัญชีไปพร้อมคำร้องดังกล่าวด้วย เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับอนุมัติเงินช่วยเหลือจำนวน 1,860 บาท เจ้าหน้าที่จึงต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารของผู้ฟ้องคดี แต่เจ้าหน้าที่กลับโอนเงินผิดบัญชี จึงถือเป็น การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการโอนเงินผิดพลาด ทั้งชื่อผู้รับเงิน เลขที่บัญชี และชื่อธนาคาร ถือเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินที่แท้ จริงได้รับความเสียหาย โดยไม่ได้รับเงินภายในเวลาอันสมควร จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี 

 

อีกทั้งการเบิกจ่ายเงินของทางราชการให้แก่บุคคลอื่น โดยปกติวิสัยของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องย่อมจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ รวมทั้งต้องมีการตรวจสอบจากผู้บังคับบัญชาเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด เพราะมิฉะนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องอาจต้องถูกไล่เบี้ยจากหน่วย งานต้นสังกัดได้ ซึ่งกรณีของผู้ฟ้องคดีได้แนบภาพถ่ายสมุดบัญชีธนาคาร หากเจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรโดยตรวจสอบทบทวนชื่อผู้รับเงิน ธนาคาร และเลขที่บัญชีให้ถูกต้องก็สามารถทำได้ง่าย เพราะทั้งชื่อผู้รับเงิน ธนาคาร และเลขบัญชีก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีคำร้องจำนวนมากและเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการมีจำกัด ก็ไม่เป็นเหตุให้ต้องเบิกจ่ายเงินไปโดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้อง เมื่อเจ้าหน้าที่ยังสามารถใช้ความระมัดระวังตรวจสอบให้ถูกต้องได้ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อข้ออ้างดังกล่าวไม่อาจรับฟังได้

 

โดยที่เงินจำนวน 1,860 บาท เป็นหนี้ที่เกิดจากมูลละเมิดเพราะจ่ายผิดพลาดและล่าช้า ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่โอนเงินผิดพลาดจนถึงวันที่ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ฟ้องคดี กรุงเทพมหานครจึงต้องชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน 94.21 บาทให้แก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนเงินช่วยเหลือจำนวน 10,600 บาท ที่ได้เพิ่มนั้น ผู้ฟ้องคดียังไม่ยอมรับเงินเอง จึงไม่อาจบังคับให้กรุงเทพมหานครชำระดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนดังกล่าวได้ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.782/2564)

 

คดีดังกล่าว ศาลได้วางแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดีเกี่ยวกับการโอนเงินเข้าบัญชีประชาชนผู้มีสิทธิได้รับเงินจากรัฐ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังและผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องตรวจสอบความถูกต้อง โดยไม่อาจอ้างเหตุปริมาณงานมากและเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอได้ เนื่องจากหากได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรย่อมจะสามารถป้องกันความผิดพลาดได้ เพราะทั้งชื่อผู้มีสิทธิ ธนาคาร และเลขที่บัญชีแตกต่างกันอย่างชัดเจน การโอนเงินผิดบัญชีจึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อที่หน่วยงานต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่ผู้เสียหาย

 

ยังดีที่คดีนี้... จำนวนเงินที่โอนผิดไม่มากนัก แต่ถ้าเป็นเงินจำนวนมากก็จะส่งผลให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในจำนวนที่มากขึ้นด้วย ผู้มีหน้าที่จึงควรต้องใช้ความระมัดระวัง ในการทำหน้าที่ เพราะดีไม่ดีก็อาจถูก สอบสวนไล่เบี้ยจากหน่วยงานของรัฐได้นะครับ... 

 

(ปรึกษาการฟ้องคดีปกครองทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่ สายด่วนศาลปกครอง 1355)