แก๊งตุ๋น...ในคราบชุดสูท หลอกขายไฟเซอร์ระบาดหนัก

03 ส.ค. 2564 | 22:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** มันมาอีกแล้ว !!! แก๊งตุ๋น ในคราบชุดสูท เป็นเหลือบเกาะอยู่ในแวดวงการเงิน อาศัยวิกฤติโควิด หลอกขายถุงมือยาง หลอกขายวัคซีนไฟเซอร์ วิ่งเข้าหาหมอตามโรงพยาบาลใหญ่  แอบอ้างสรรพคุณ สามารถนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ มาได้ เกือบมี “หมอตระกูลใหญ่” หลงเชื่อ ดีที่ไหวตัวทัน ไม่งั้นโดนหลายร้อยล้าน ...รู้ ๆ อยู่ว่า ไฟเซอร์ จะซื้อขายเฉพาะรัฐกับรัฐ เท่านั้น หรือ จีทูจี เท่านั้น


เจ๊เมาธ์ไม่รู้ว่า รพ.ที่ประกาศนำเข้าวัคซีนตกเป็นเหยื่อแก๊งตุ๋นชุดสูทนี้หรือไม่ ได้ยินมาว่า “หมอ” ก็รู้ตัว หัวหน้าแก๊งแสบไปขโมยวัคซีนมาขาย ...เจ๊แค่อยากบอกให้ระวังวัคซีนเอกชนไม่ได้นำเข้ามาง่ายๆ นอกจากผ่านองค์กรรัฐนำเข้ามา  


แก๊งนี้ชอบคนมีสี จะสีเขียว สีกากี  ชอบอ้างบารมีผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ปูทางต้มตุ๋น ทำให้ดูน่าเชื่อถือ แอบอ้างบริษัทโน้นนี่นั่น เป็นพรรคพวก หากินทุกรูปแบบ ทั้งปั่นหุ้น หลอกขายหุ้น หัวดำ-หัวแดง ได้หมด พวกหิวแสง และหิวเงิน   


*** จับตาการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นขนส่งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แห่งหนึ่ง เบื้องหลังดีลนี้ มีสีเทาๆ  ค่อนข้างดำ กำกับอยู่ข้างหลัง ส่งคนของบิ๊ก “สื่อสาร เข้ามานั่งกุมบังเหียน ...บริษัทขนส่งแห่งนี้มีชื่อโยงไปกับแก๊งวัคซีน จะเป็นบริษัทขนวัคซีนข้ามฟ้าเข้ามา ราคาหุ้นกำลังจะถูกปั่นราคาขึ้นมาจากราคา 3 บาท  เพิ่มทุน ออกวอร์แรนต์ สร้างสตอรี่ ดึงคนใกล้ตัวตระกูลดัง เข้ามาเป็นแบ็คหลัง หวังสร้างความมั่นใจนักลงทุน แต่ถ้าใครรู้พฤติกรรม ...พวกแกงค์นี้หลอกมาหลายคนแล้ว  


*** เจ๊เมาธ์ ยังรอดูว่าดีลจัดหาวัคซีนชนิด mRNA จำนวน 20 ล้านโดส ของ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) จะได้ลงนามสั่งซื้อจริงๆ เมื่อไหร่  ก็รอด้วยใจระทึก ... 

*** หลังจาก  “รชต พุ่มพันธุ์ม่วง” เก็บหุ้นของ 7UP รวมแล้ว 246.8 ล้านหุ้น (4.99%) นับรวมกับจำนวนหุ้นที่ “สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ซึ่งเป็นบิดาของ รชต ถืออยู่จำนวน 491 ล้านหุ้น (9.94%)  ทำให้สองพ่อลูก “พุ่มพันธุ์ม่วง” มีสัดส่วนการถือหุ้นใน 7UP รวมแล้วเกือบ 15% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เจ๊เมาธ์ก็ยังยืนยันอยู่เช่นเดิมว่า จนถึงตอนนี้เจ๊ก็ยังหาสาเหตุของการดันราคาขึ้นมาของหุ้นตัวนี้ไม่ได้ เพราะถึงแม้  7UP จะไม่มีอะไรแย่ แต่ถ้าจะให้หาสาเหตุของการดันราคาขึ้นมาสูงถึง 300% มันก็ไม่มีประเด็นอื่นใดที่โดดเด่นเพียงพอนอกจากเรื่องของคนตระกูล “พุ่มพันธุ์ม่วง” เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น 


และถ้าหุ้นใดขยับราคาขึ้นมาโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงรองรับ สุดท้ายราคาหุ้นตัวนี้ก็จะกลับไปหาราคาพื้นฐานที่หุ้นตัวนั้นควรจะเป็น ซึ่งหุ้นอย่าง 7UP ก็น่าจะหนีไม่พ้นกฎที่ว่านี้ไปได้เช่นกันค่ะ


*** นักลงทุนแสดงความกังวลในเรื่องการเพิ่มทุนของ TOP ผ่านทางราคาหุ้น หลังการตัดสินใจเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 15.38% มูลค่าการลงทุนประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญฯ หรือ 4 หมื่นล้านบาท ของบริษัท Chandra Asri (CAP) ปิโตรเคมี ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดย TOP จะจัดหาเงินเพื่อการลงทุนในครั้งนี้ผ่านทาง

1. กู้เงินจาก PTT ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท ดอกเบี้ย 2.5% และ
    

2. ขายหุ้น GPSC 10.8% ให้กับ PTT คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 2.0-2.4 หมื่นล้านบาท รวมถึง
    

3. ออกหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็น RO, PP หรือ Warrant 

จากการวิเคราะห์ผลกระทบในระยะสั้น จะทำให้บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 1 พันล้านบาท และส่วนแบ่งรายได้จาก GPSC จะลดลงไปประมาณ 1.0-1.2 พันล้านบาท ในขณะที่ TOP จะมีรายได้จากการลงทุนใหม่ครั้งนี้ประมาณ 800-1,400 ล้านบาท เมื่อหักลบกันแล้วในระยะสั้นพบว่ารายได้ของ TOP จะลดลง 800-1,200 ล้านบาท  


และนอกจากการที่มูลค่าหุ้นต้องถูกปรับลดเนื่องจากรายได้ที่หายไป การเพิ่มทุนจะเกิดขึ้นก็จะทำให้มูลค่าหุ้นเกิด Dilution ด้วยเช่นกัน แล้วจะสรุปว่าการลงทุนของ TOP ในรอบนี้มันคุ้มค่ากันหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้นะคะ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ราคาหุ้นลงไปตั้งฐานใหม่ที่ 45 บาทแล้วค่ะ  


*** แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะเอื้อให้หุ้นในกลุ่มลีสซิ่ง ได้ผลประโยชน์ไปจากภาพรวมสินเชื่อที่โตขึ้น แต่สำหรับเจ๊เมาธ์หุ้นลีสซิ่งอย่าง TIDLOR ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าเด่นได้เลย ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องโควิดที่ทำให้ดอกเบี้ยซึ่งเป็นรายได้หลักกลายเป็นขาลง การพักชำระหนี้ที่ทำให้รายได้หายไปอีกส่วน 


ขณะเดียวกันการแข่งขันที่ดุเดือดของกลุ่มบริษัท Non-Bank ทั้งหลายที่แข่งกันลดดอกเบี้ยทำให้แม้จะมีธนาคารหนุนหลังแต่ TIDLOR ก็มีผลกระทบ เมื่อนับรวมถึงเรื่องผลการดำเนินงานก็พบว่าจนถึงตอนนี้ TIDLOR ก็ยังไม่มีอะไรโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นอย่างแต่อย่างใด ดังนั้นราคาแถวๆ 40 บาทบวกลบอีกนิดหน่อย จึงอาจเป็นราคาที่ TIDLOR ที่เหมาะสมกับหุ้นตัวนี้ไปอีกสักระยะนั่นเอง