สงครามโรครุกราน เอาชนะได้ถ้าไทยสามัคคี

29 ก.ค. 2564 | 03:30 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน โดย...ประพันธุ์ คูณมี

     บ้านเมืองไทยยามนี้ ไม่แตกต่างอะไรกับการอยู่ภายใต้ภาวะสงคราม ที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนและความอยู่รอดของประเทศชาติ เพราะสงครามนี้มันได้ฆ่าชีวิตคน ทำลายประเทศ ทำลายเศรษฐกิจและสังคมให้ต้องย่อยยับอย่างมิอาจประมาณได้ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะฟื้นฟูบูรณะประเทศและชีวิตผู้คน ให้กลับคืนได้เช่นดั่งเดิม โลกทั้งใบขณะนี้ล้วนตกอยู่ในภาวะวิกฤติเดียวกัน

     สงครามครั้งนี้ แม้จะเป็นเรื่องของสงครามโรคระบาด แต่ก็ไม่แตกต่างอะไรกับสงครามโลก ซ้ำร้ายยังหนักหน่วงกว่าเพราะมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากยิ่งกว่านั่นเอง สงครามโรคระบาดได้เกิดขึ้นไปทั่วทุกมุมโลก ไม่มีพื้นที่ใดได้รับยกเว้น มีความหนักหน่วงและรุนแรงคุกคามต่อชีวิตมวลมนุษยชาติอย่างโหดร้าย

     โดยขณะนี้โรคระบาดจากไวรัสโควิด ได้คุกคามคร่าชีวิตผู้คนให้ต้องล้มตายถึง 4,182,840 คน และมีผู้ติดเชื้อ 195,347,296 คน (ข้อมูล 27 ก.ค.64) และยังจะมีเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆโดยยังไม่จบสิ้น จำนวนคนติดเชื้อล้มตายเสียชีวิตเพิ่มจำนวนในทุกๆ วัน จนใกล้จะเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีพลเรือนเสียชีวิตถึง 13 ล้านคน และใกล้จะทำลายสถิติที่มีคนตายจากโรคระบาดครั้งใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปนในปี ค.ศ.1918 จำนวนคนเสียชีวิตถึง 100 ล้านคน จากทั่วโลกหรือไม่ ยังต้องติดตามต่อไป เพราะยังไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อใด

     กล่าวโดยสรุป สถานการณ์ของ "สงครามโรคไวรัสโควิด-19" ยังไม่จบสิ้น ยังคงดำเนินไปต่อไปอย่างโหดร้ายและปกคลุมไปทั่วโลก เป็นสงครามที่เกิดจากโรคภัยคุกคามที่มาจากนอกประเทศ ทำให้คนไทยล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกัน มันเป็นสงครามโรคร้ายที่ไม่มีผู้ใดในประเทศเป็นผู้ก่อ หรือชักศึกเข้าบ้าน มิใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง ที่เราคนไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยทั้งหลาย จะกล่าวหาตราหน้า ด่าทอกันว่าใครคนใดคนหนึ่งเป็น "ฆาตกร" ฆ่าชีวิตประชาชนไทยด้วยกัน

     ถ้าเรามีพื้นฐานความคิดความเชื่อเช่นนี้ ประเทศของเราก็จะสามารถสามัคคีร่วมมือกันแก้ไขปัญหาได้ ไม่โทษกันไม่โยนความผิดใส่กัน แต่ถ้าเรามีความคิดเป็นอย่างอื่น ปราศจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่มีความรักความสามัคคีต่อกันเสียแล้ว ก็ยากที่เราจะแก้ไขฝ่าฟันเอาชนะ สงครามจากโรคร้ายครั้งนี้ ก้าวพ้นวิกฤติไปด้วยกันได้ ชาติและประชาชนไทยอาจต้องย่อยยับ เสียหาย สิ้นชาติได้ ด้วยการกระทำของพวกเราเอง

     ในยามที่บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤติที่เลวร้ายเช่นนี้ มีคนตายวันละ 100 รายขึ้นไป มีผู้ติดเชื้อวันละเกือบสองหมื่นรายในทุกๆวัน โรงพยาบาล และระบบแพทย์ สาธารณสุข แทบจะรับไม่ไหวเช่นนี้ จึงเป็นยามที่ชาติบ้านเมืองต้องการความรัก ความสามัคคี ความร่วมมือกันของพี่น้องไทยร่วมชาติ ไม่ใช่เวลาแห่งการห้ำหั่นต่อสู้ฟาดฟันทำลายกันเองของคนไทย ไม่ใช่เวลาที่จะฉวยโอกาสเอาการเมืองมาชิงอำนาจฟาดฟันกัน

     การสามัคคีร่วมมือกัน ต่อสู้เอาชนะโรคร้ายด้วยความร่วมมือกันเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเรารอดชีวิต มีประเทศและยังคงมีแผ่นดินที่สงบสุขร่มเย็นอยู่อาศัย หยุดด่า หยุดเล่นการเมือง ให้วิกฤติผ่านพ้นเสียก่อนเถอะ จากนั้นจะฟาดฟันกันทางการเมืองอย่างไร ค่อยว่ากัน ไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ

     ดังนั้นยามนี้ คนไทยใครมีความคิดอะไรดีๆที่จะช่วยบ้านเมืองให้พ้นวิกฤติ ช่วยกันคิดช่วยกันสร้างสรรค์เถอะครับ ขออย่าได้ขยันพูด ขยันโพสต์ ขยันแชร์แต่ข้อความ เรื่องราว ที่เอาแต่ก่นดา ทำลายกำลังใจกัน หรือทำลายความสามัคคีกันของคนในชาติเลย เพราะช่วยอะไรบ้านเมืองไม่ได้จริงๆ มีแต่จะทำให้พวกเรากอดคอกันตายไปด้วยกันเท่านั้นเอง

     หยุดด่ากันไว้ชั่วคราวเสียก่อนเถอะครับ เพราะเปิดดูไลน์ติดตามข่าวในโซเชียล ฟังหมอบางคนออกมาพูด บอกตรงๆ ครับไม่อยากอ่าน ไม่อยากเปิดคลิปเสียงฟังเลย ฟังแล้วมีแต่ความหดหู่ใจ ไม่มีใครเสนอความคิดอะไรดีๆ ที่สร้างสรรค์ เพื่อให้บ้านเมืองพ้นภัยเลย ล้วนมีแต่ซ้ำเติมกันเอง

     ขณะเดียวกันพวกนักการเมืองประเภทสัมภเวสี ที่โกงกินประเทศหาแผ่นดินอยู่ไม่ได้ ก็ฉวยโอกาสกระโดดออกมาผสมโรง ซ้ำเติมวิกฤติบ้านเมือง คุยโวโอ้อวดว่าตนเป็นนายกฯ ที่เก่งกว่าใครๆ ถ้าได้กลับมาก็จะช่วยพี่น้องแก้ปัญหาสารพัด ถือโอกาสตีกินทางการเมือง โดยไม่มองถึงเงาหัวตัวเอง ว่าเคยทำให้บ้านเมืองล่มจมอย่างไร เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชเวทนายิ่งนัก

     มีนักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัยไม่ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ แม้จะมีผู้คนเรียกร้องเห็นว่าเหมาะสมที่มากอบกู้บ้านเมืองยามวิกฤติ แต่ก็ไม่เคยตีกินพูดจาเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น หรือซ้ำเติมวิกฤติของบ้านเมือง เหมือนอดีตนายกฯ บางคน คนเช่นนี้สิครับที่น่ายกย่อง ท่านผู้นี้กลับพูดจาแบบผู้มีวุฒิภาวะ สมกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง รู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ ควรพูดหรือควรทำตัวเช่นไร อันเป็นการที่สมควรแก่การยกย่องนับถืออย่างยิ่ง

     ผมขอถือโอกาสคัดย่อมาเตือนสติคนไทยด้วยกันเพื่อพิจารณา ท่านพูดอย่างนี้ครับ "เรากำลังสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น และไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่ประเทศของเรา แต่หมายถึงทุกประเทศบนโลกใบนี้ ตั้งสติดีๆ สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือ ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมพลังกัน สู้กับสิ่งนี้ บนหลักวิชาการ...งดด่าชั่วคราว เพราะไม่ได้ช่วยอะไร อีกไม่นานประเทศ ก็จะผ่านวิกฤติครั้งนี้...อีกนิดครับ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ทำให้เรารอดได้ทุกสถานการณ์ แม้ปัจจุบัน"

     นี่คือคำพูดของ "นายชวน หลีกภัย" นักการเมือง อดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัย และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ฟังแล้วดูมีเหตุผล มีน้ำหนัก และสร้างขวัญกำลังใจแก่พี่น้องทุกคน เพื่อสู้กับวิกฤติโควิด บอกตรงๆครับ ท่านอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย พูดได้ดีมาก เพราะไม่เคยคุยโวโอ้อวด ยกตนข่มผู้อื่น ควรที่พี่น้องคนไทยจะได้มีสติร่วมกัน อย่าไปคึกคะนอง เอามัน กับพวกนักการเมือง อย่าคิดว่าเป็นแฟชั่น แข่งขันกันว่าใคร ด่าเก่ง ด่าได้มัน สะใจคนฟังเลยครับ เพราะนั่นคือการช่วยกันซ้ำเติมวิกฤติ ช่วยกันทำลายบ้านเมืองของเรา

     ในสงครามโรคที่กำลังระบาด และคุกคามทำลายชีวิตผู้คนในบ้านเมืองขณะนี้ ทุกคนล้วนประสบชะตากรรมเดียวกัน มีแต่ความรักความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมพลังกัน สู้กับสิ่งนี้ ดั่งที่ท่านอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย ได้ให้สติกับเราเท่านั้นแหละครับ ที่จะทำให้พวกเรารอดชีวิต ชาติพ้นภัย ประเทศรอดพ้นจากวิกฤติทั้งปวง พวกที่มาชวนเราด่า ช่วยกันถล่มรัฐบาล โจมตีผู้นำประเทศของตนให้ย่อยยับ แบบไม่ให้เกียรติเคารพผู้นำของตน คงช่วยอะไรกับการแก้ไขปัญหาวิกฤติประเทศไม่ได้

     นอกจากทำให้พวกเราพินาศไปพร้อมกัน หยุดด่า หยุดทำลายบ้านเมืองตนเองเถอะครับ มีแต่ความรัก ความสามัคคีของพวกเราคนไทยด้วยกันเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราพ้นภัย เอาชนะได้กับโรคร้ายที่คุกคามชีวิตคนทั้งหมดในแผ่นดินไปด้วยกัน