ภาษีทรัมป์ฉุด ‘กุ้งอินเดีย’ ผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก ส่งออกทรุด-ชาวฟาร์มเสี่ยงล้มละลาย

08 พ.ย. 2568 | 13:00 น.

สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีกุ้งอินเดียพุ่ง 58% เขย่าผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก ราคากุ้งร่วงหนัก ฟาร์มปิดครึ่งประเทศ เกษตรกรเสี่ยงหมดตัว

KEY

POINTS

  • สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้ากุ้งจากอินเดียในอัตราสูงถึง 58.26% ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมส่งออกซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก
  • เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากราคาขายกุ้งในฟาร์มลดต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ทำให้เสี่ยงต่อการล้มละลาย
  • ผลกระทบได้ขยายวงกว้างไปยังธุรกิจฟาร์มเพาะพันธุ์ลูกกุ้ง (hatchery) ที่ต้องปิดกิจการไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งเพราะไม่มีเกษตรกรมาซื้อพันธุ์
  • อินเดียเสียเปรียบคู่แข่งอย่างเอกวาดอร์ ซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่ามากและสามารถขยายส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว

อินเดียในฐานะผู้ผลิต "กุ้ง" รายใหญ่เป็นอันดับสองของโลกกำลังเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้ากุ้งจากอินเดียสูงถึง 58.26% ส่งผลกระทบหนักต่ออุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปลายทางสำคัญคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด

หนึ่งในเสียงสะท้อนจากพื้นที่คือ เกษตรกรเพาะเลี้ยงกุ้งจากเมืองนันดิคแกรม รัฐเบงกอลตะวันออก ที่ต้องตัดสินใจเสี่ยงเพาะกุ้งรอบที่สองภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังการเก็บเกี่ยวรอบแรก ทั้งที่รู้ดีว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคระบาด แต่เมื่อราคากุ้งตกฮวบหลังโดนภาษี เกษตรกรจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินคืนจากการลงทุนกว่า 300,000 รูปี หรือราว 3,380 ดอลลาร์สหรัฐฯ

อินเดียผลิตกุ้งส่งออกมูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณสิ้นสุดมีนาคม 2568 โดยมีกุ้งสองสายพันธุ์หลักคือ “แบล็กไทเกอร์” และ “แวนนาไม” (Vannamei) ซึ่งแวนนาไมถือเป็นพันธุ์เศรษฐกิจสำคัญ คิดเป็นกว่า 95% ของผลผลิตรวมกว่า 1.1 ล้านตันต่อปี กุ้งอินเดียกระจายการผลิตใน 9 รัฐชายฝั่ง ตั้งแต่เบงกอล โอริสสา อานธรประเทศ ไปจนถึงเกรละ และสร้างงานให้คนอินเดียกว่า 10 ล้านคน

แต่ภายหลังการขึ้นภาษีในเดือนพฤษภาคม ราคากุ้งในฟาร์มร่วงจาก 300 รูปี เหลือเพียง 230 รูปีต่อกิโลกรัม ทั้งที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ราว 275 รูปีต่อกิโลกรัม นั่นหมายความว่าชาวฟาร์มขาดทุนทุกครั้งที่ขาย ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า ค่าเช่าที่ดิน และอาหารสัตว์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เกษตรกรต้องกู้เงินและเสี่ยงกับโรคกุ้งระบาดเพื่อหวังผลตอบแทน แต่ตอนนี้พวกเขากลับใกล้จนล้มละลาย” มโนช ชาร์มา เกษตรกรรุ่นใหญ่ในวงการกุ้งอินเดียกล่าว พร้อมชี้ว่าอัตราภาษีสูงขนาดนี้ทำให้ตลาดสหรัฐฯ ที่เคยเป็น “ขุมทอง” สำหรับผู้ส่งออกอินเดีย กลับกลายเป็น “หลุมพราง” ที่ไม่มีใครอยากเข้าไปลงทุน

ราอูล กูฮา ผู้อำนวยการอาวุโสจาก Crisil Ratings ระบุว่า การขึ้นภาษีทำให้ความเชื่อมั่นของเกษตรกรสั่นคลอน เพราะตลาดสหรัฐฯ เคยมีจุดเด่นเรื่องกำไรสูง การเข้าถึงง่าย และลูกค้าประจำจำนวนมาก การถูกตัดโอกาสเช่นนี้ทำให้หลายฟาร์มเริ่มลดการผลิตลง

ผลกระทบไม่ได้จบแค่ที่ชาวฟาร์ม แต่ยังลามถึง “ฟาร์มอนุบาลลูกกุ้ง” หรือ hatchery กว่า 550 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งต้องพึ่งพาเกษตรกรในการซื้อพันธุ์ไปเพาะเลี้ยงต่อ ปัจจุบันอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของฟาร์มเหล่านี้ปิดกิจการไปแล้ว เพราะไม่มีเกษตรกรมาซื้อพันธุ์ ขณะที่ลูกกุ้งมีอายุเพียง 3-4 วันเท่านั้น ทำให้เมล็ดพันธุ์กว่า 7-8 พันล้านตัวต้องถูกทำลายภายใน 4 เดือนที่ผ่านมา

อีกปัญหาหนึ่งคือการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์กุ้งจากสหรัฐฯ ทางเครื่องบินเช่าเหมาลำ ซึ่งบางครั้งกลับไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของอินเดียจนทำให้เกิดโรคระบาดในบ่อเพาะเลี้ยง ผู้นำสมาพันธ์เกษตรกรกุ้งอินเดียอย่าง ไอ.พี.อาร์. โมฮัน ราจู จึงเรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนาสายพันธุ์ท้องถิ่นแทนการพึ่งพาต่างประเทศ เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

ในขณะที่อินเดียกำลังเผชิญความยากลำบาก เอกวาดอร์ คู่แข่งอันดับหนึ่งในตลาดสหรัฐฯ กลับเร่งขยายส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว ด้วยข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ใกล้ชิดกับอเมริกา ผลิตกุ้งแวนนาไมในประเทศได้คุณภาพสูงและต้นทุนต่ำ อีกทั้งยังถูกเก็บภาษีเพียง 15% เท่านั้น ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 เอกวาดอร์ส่งออกกุ้งไปสหรัฐฯ มากกว่า 1.03 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน และสร้างรายได้กว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์

ผู้เชี่ยวชาญอย่างชาร์มามองว่า สถานการณ์นี้จะบีบให้ผู้ส่งออกอินเดียต้องแข่งกันเองเพื่อหาตลาดใหม่ แต่เขาเชื่อว่าคำตอบอาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด นั่นคือ “ตลาดภายในประเทศ” ที่ยังถูกละเลยและมีศักยภาพมหาศาล หากได้รับการพัฒนาและสร้างการบริโภคอย่างจริงจัง

 

อ้างอิง: Aljazeera