ศาลสหรัฐฯ เชือด 'ทรัมป์' ห้ามหั่นงบต่างประเทศ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ฝืนกฎหมายจัดสรรงบ

06 ก.ย. 2568 | 05:01 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2568 | 05:02 น.

ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ตัดสินคงคำสั่งห้ามรัฐบาลทรัมป์ตัดลดงบต่างประเทศกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ย้ำประธานาธิบดีไม่สามารถเลี่ยงอำนาจสภาคองเกรสได้

KEY

POINTS

  • ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีคำสั่งห้ามรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์
  • ศาลชี้ว่าฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจระงับการใช้จ่ายงบประมาณที่สภาคองเกรสอนุมัติแล้วตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นการละเมิดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ
  • คำตัดสินดังกล่าวบังคับให้รัฐบาลต้องเร่งใช้จ่ายงบประมาณก้อนนี้ให้หมดก่อนที่อายุการอนุมัติจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน

ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตโคลัมเบียเซอร์กิตมีคำตัดสินเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปฏิเสธคำร้องของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการระงับคำพิพากษาของศาลล่างซึ่งชี้ชัดว่าฝ่ายบริหารไม่สามารถตัดลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศได้ตามอำเภอใจ โดยคำตัดสินนี้บังคับให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณโครงการที่สภาคองเกรสอนุมัติไว้แล้ว มูลค่ารวมราว 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 396,000 ล้านบาท ก่อนที่อายุการอนุมัติจะหมดลงในเดือนกันยายนนี้

แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ให้เหตุผลโดยละเอียด แต่ระบุเพียงว่ารัฐบาลทรัมป์ไม่สามารถ "ตอบสนองต่อเงื่อนไขเข้มงวด" ที่จำเป็นในการขอระงับคำสั่งศาลล่างระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา จัสติน วอล์กเกอร์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่ทรัมป์แต่งตั้ง ได้เขียนคำเห็นแย้งว่าตนจะสนับสนุนการระงับคำตัดสินชั่วคราว

คดีนี้เริ่มจากการที่หลายองค์กรด้านความช่วยเหลือฟ้องร้องรัฐบาล หลังจากที่พวกเขาคาดว่าจะสามารถเข้าร่วมแข่งขันขอรับงบประมาณดังกล่าวได้ภายในปีนี้ แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์กลับเลือกที่จะกันงบประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์ที่จัดสรรให้กับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) โดยให้เหตุผลว่าจะใช้จ่ายเพียง 6,500 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2024 ขณะที่ USAID เองถูกวิจารณ์ว่าถูกลดบทบาทลงอย่างหนักภายใต้การบริหารของทรัมป์

ผู้พิพากษาอาเมียร์ อาลี จากศาลแขวงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นผู้มีคำพิพากษาก่อนหน้านี้เมื่อวันพุธ โดยระบุว่าฝ่ายบริหารไม่สามารถเลือกที่จะไม่ใช้จ่ายเงินได้ เนื่องจากกฎหมายการจัดสรรงบประมาณยังคงมีผลบังคับใช้จนกว่าสภาคองเกรสจะเปลี่ยนแปลง อาลียังเตือนว่าการเพิกเฉยต่อข้อกำหนดดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอำนาจนิติบัญญัติของสภาคองเกรส

ประเด็นสำคัญที่ถกเถียงคือความพยายามของทรัมป์ที่จะใช้อำนาจ "pocket rescission" เพื่อกันงบ 4,000 ล้านดอลลาร์โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส กลยุทธ์นี้อาศัยข้อโต้แย้งจากรัสเซล โวท์ ผู้อำนวยการงบประมาณของทำเนียบขาวที่เชื่อว่าประธานาธิบดีสามารถระงับการเบิกจ่ายงบได้ 45 วันหลังจากยื่นคำร้องขอเพิกถอนงบ ซึ่งอาจทำให้เวลาหมดอายุการใช้จ่ายสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน วิธีการนี้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี 1977

เงินงบประมาณที่เป็นข้อพิพาทนี้มีการจัดสรรสำหรับโครงการความช่วยเหลือต่างประเทศ การปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และความพยายามส่งเสริมประชาธิปไตยในต่างแดน โดยผู้พิพากษาอาลีตัดสินว่าการเพียงแค่ร้องขอให้สภาคองเกรสเพิกถอนงบไม่เพียงพอ หากสภาคองเกรสไม่ดำเนินการ งบดังกล่าวต้องถูกใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้

เพื่อป้องกันไม่ให้งบหมดอายุก่อนที่ศาลสูงจะพิจารณา อาลีจึงรีบมีคำสั่งเพื่อให้ศาลระดับสูงกว่ามีเวลาตรวจสอบต่อ ทั้งนี้ ศาลสูงสหรัฐฯ ที่มีเสียงข้างมากฝั่งอนุรักษ์นิยม 6 ต่อ 3 ได้เข้ามามีบทบาทในคดีนี้แล้ว โดยเคยสั่งให้รัฐบาลทรัมป์จ่ายค่าชดเชยแก่องค์กรช่วยเหลือที่ได้ปฏิบัติงานภายใต้สัญญากับรัฐบาลไปก่อนหน้านี้