โมดีจับมือจีน-รัสเซีย เขย่าภูมิรัฐศาสตร์โลก ทางตันสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดีย?

03 ก.ย. 2568 | 22:55 น.

ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดียสั่นคลอน เมื่อทรัมป์กดดันใส่ภาษี-โจมตีการค้าน้ำมันรัสเซีย ขณะที่โมดีเลือกอุ่นเครื่องสัมพันธ์จีน-รัสเซีย ภาพสะท้อนการเปลี่ยนทิศทางทางการทูตที่เขย่ากระดานโลก

KEY

POINTS

  • การที่นายกฯ โมดีของอินเดียพบปะกับผู้นำจีนและรัสเซีย ถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงสหรัฐฯ และอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศถึงทางตัน
  • ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดียตึงเครียดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ เช่น การขึ้นภาษี และการวิจารณ์ที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งผลักให้อินเดียหันไปหาขั้วอำนาจอื่น
  • อินเดียแสดงจุดยืนชัดเจนในการรักษา "เอกราชเชิงยุทธศาสตร์" โดยไม่ยอมทำตามแรงกดดันของสหรัฐฯ และพร้อมกระชับความสัมพันธ์กับจีนและรัสเซียเพื่อเป็นทางเลือก

ภาพถ่ายของนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ที่จับมือกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ในการประชุมที่มีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเป็นเจ้าภาพ สร้างแรงสะเทือนในแวดวงการเมืองโลก และตอกย้ำการประเมินของผู้เชี่ยวชาญหลายรายว่าสหรัฐฯ กำลังพลาดโอกาสสำคัญในการดึงอินเดียเข้าสู่ค่ายทางการทูตของตนเอง

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ จากหลายสมัยต่างพยายามสร้างสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอินเดีย เพื่อใช้เป็นพลังถ่วงดุลอิทธิพลของจีนและรัสเซีย แต่ทว่าในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ความพยายามดังกล่าวกลับสะดุดอย่างหนัก โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียกว่า 50% รวมถึงการวิจารณ์อย่างรุนแรงต่อการที่อินเดียเลือกซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกดดันเกินขอบเขต

ความขุ่นเคืองนี้เกิดขึ้นพร้อมกับช่วงเวลาที่จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือกำลังเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างเหนียวแน่น โดยล่าสุดผู้นำทั้งสามประเทศปรากฏตัวเคียงข้างกันในพิธีรำลึกสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สวนทางกับความตั้งใจของทรัมป์ที่อยากจะปรับความสัมพันธ์กับคู่แข่งเหล่านี้ใหม่

สำหรับโมดี ท่าทีล่าสุดถือเป็นสัญญาณชัดเจนที่ส่งตรงถึงวอชิงตันว่า อินเดียพร้อมเลือกที่จะเสริมสร้างสัมพันธ์กับมอสโก และเปิดใจต่อปักกิ่ง แม้ทั้งสองประเทศจะมีประวัติความตึงเครียดรุนแรง รวมถึงเหตุปะทะทางทหารบริเวณพรมแดนเมื่อปี 2020 ก็ตาม การเดินทางไปจีนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีของโมดี และถูกจับตามองว่าเป็นการเปลี่ยนจุดยืนสำคัญ

แอชลีย์ เทลลิส อดีตเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวในยุคจอร์จ ดับเบิลยู. บุช วิเคราะห์ว่า ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดียกำลังเข้าสู่วงจรขาลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทั้งสองผู้นำไม่ยอมใช้วิธีการทางการทูตส่วนตัวเพื่อซ่อมแซมความสัมพันธ์ เขาย้ำว่าแรงกดดันของทรัมป์ที่มีต่ออินเดียในเวลานี้มีแต่จะตอกลึกปัญหา และตราบใดที่ทรัมป์ยังมุ่งมั่นจะปิดดีลการค้ากับจีน อินเดียก็จะไม่ได้รับความสำคัญ

ไม่เพียงเท่านั้น อินเดียยังไม่พอใจที่ทรัมป์เลือกยกย่องปากีสถาน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค โดยเฉพาะกรณีที่ทรัมป์อ้างเครดิตว่าเป็นผู้แก้ไขความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน ทั้งที่นิวเดลีมองว่าเป็นเรื่องที่ควรแก้ไขกันเองระหว่างสองประเทศ

แทนวี มาดัน ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันบรูกกิงส์ ระบุว่า การที่สหรัฐฯ ออกมาวิจารณ์โมดีเรื่องการพบปะกับปูตินและสี จิ้นผิง กลับดูย้อนแย้งในสายตาชาวอินเดีย เพราะไม่นานก่อนหน้านี้ทรัมป์เองเพิ่งต้อนรับปูตินอย่างอบอุ่น และยังวางแผนพบปะกับผู้นำจีนด้วย การกดดันในลักษณะนี้ไม่เพียงไม่ทำให้อินเดียเปลี่ยนท่าที แต่ยังยิ่งตอกย้ำความปรารถนาของอินเดียที่จะรักษา “เอกราชเชิงยุทธศาสตร์” มากขึ้น

ทำเนียบขาวพยายามโต้กลับ โดยโฆษกหญิง แอนนา เคลลี ยืนยันว่าทรัมป์และโมดีมีความสัมพันธ์ที่ “ให้เกียรติกัน” และยังคงมีการสื่อสารระหว่างสองฝ่ายในทุกมิติ ทั้งการทูต ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ขณะที่เจ้าหน้าที่อินเดียซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่าคำพูดและท่าทีจากวอชิงตันที่แสดงออกต่ออินเดียนั้นไม่เป็นธรรม แต่ยืนยันว่านิวเดลียังคงเปิดรับการเจรจาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความเสี่ยงต่อโครงการสำคัญ เช่น การประชุมสุดยอด “ควอด” (Quad) ที่อินเดียมีกำหนดเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤศจิกายน โดยเดิมทีควอดถูกออกแบบเพื่อเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงร่วมกับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ในการถ่วงดุลจีน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าทรัมป์จะเข้าร่วม ขณะที่ทำเนียบขาวกลับเร่งเร้าข้อตกลงการค้ากับจีนซึ่งมีเส้นตายก่อนสิ้นปี

นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า อินเดียไม่ใช่ประเทศที่จะก้มหัวตามแรงกดดันของสหรัฐฯ ได้ง่ายๆ ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การเมือง และเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมี “ทางเลือกอื่น” ที่พร้อมหันไปพึ่งพาความสัมพันธ์กับประเทศคู่แข่งของวอชิงตัน

ในมุมของปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาว ถึงขั้นระบุว่าภาพโมดีจับมือกับปูตินและสี เป็นเรื่อง “น่าเสียดาย” เพราะเหมือนผู้นำประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังเลือกยืนเคียงข้าง “สองผู้นำเผด็จการ”